“อดีตนายกฯ ทักษิณ” เชื่อ พรรคประชาชนหวังดิสเครดิต ปมใส่ชื่อในญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ ถามกลับ ปรึกษาผู้ก่อตั้ง อนาคตใหม่หรือยัง สอนมวย เป็นพรรคคนรุ่นใหม่ต้องทำแต่เรื่องสร้างสรรค์ ยังไม่เลือกตั้งไม่ต้องรีบทำคะแนน รับ คุย เนวิน-อนุทิน บ้านจันทร์ส่องหล้าปม ตรวจสอบ เลือก สว. มองพรรคร่วมคุยกันเป็นเรื่องธรรมดา

วันที่ 14 มีนาคม 2568 ที่โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ และบางกอกคอนเวนชั่น เซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่ฝ่ายค้านยอมถอนชื่อของตนเองออกจากญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจว่า ขอถามจริงๆ เพื่ออะไร ตนเองก็ไม่ได้เป็น สส. และรัฐมนตรีอะไรแล้วทำไปเพื่ออะไร หรือจะดิสเครดิตเผื่อเลือกตั้งครั้งหน้า แต่เหลือเวลาอีก 2 ปีขอให้ใจเย็นๆ ยังไม่เลือกตั้งอย่าพึ่งรีบหาเสียง ตนเองก็ไม่มีปัญหา นรกสวรรค์ก็เห็นมาแล้ว จึงรู้สึกเฉยๆ ไม่มีอะไรตื่นเต้น ส่วนที่บอกว่าตนเองชักใยนายกรัฐมนตรีนั้น นายทักษิณ กล่าวว่า เป็นพรรคคนรุ่นใหม่ต้องพยายามทำอะไรให้สร้างสรรค์และทำอะไรให้ดูน่าเชื่อถืออย่าไปทำอะไรที่น่ารำคาญ ถ้าทำเป็นที่น่ารำคาญเดี๋ยวจะเสียไปอีกพรรคหนึ่ง ส่วนที่ฝ่ายค้านระบุว่าตนเองเป็นนั่งร้านและอยู่เบื้องหลังนายกรัฐมนตรี คำนี้มันแรงเกินไปหรือไม่ นายทักษิณ ตั้งคำถามกลับว่าประเด็นนี้ได้ปรึกษาผู้ก่อตั้งพรรคอนาคตใหม่หรือยัง เขาได้ปรึกษากันหรือยังว่าจะเล่นประเด็นนี้ ผู้ก่อตั้ง

ผู้สื่อข่าวจึงถามนายทักษิณว่าทำไมต้องปรึกษาผู้ก่อตั้งพรรคอนาคตใหม่ นายทักษิณก็ตอบว่า การเลือกตั้งนายก อบจ. ลำพูนมีใครไปช่วยดูแลไหม พร้อมย้ำว่าไม่มีใครไปพูดคุยกับใคร แต่สรุปแล้วว่าเรื่องนี้ต้องเป็นไปตามกติกา “ตนเองไม่ได้เกี่ยวข้อง ที่อยากจะใส่ชื่อตนเองเข้าไปในญัตติหนักหนา อาจเป็นเพราะชื่อผมมันหล่อไปหน่อย แต่ไม่เป็นไร”

...

นายทักษิณยังบอกอีกว่าช่วงนี้นายกรัฐมนตรีทำงานหนักเพราะปัญหาเรื่องเศรษฐกิจต้องใช้เวลาในการฟื้นเพราะตอนปี 1997 หรือปี 2540 ตอนนั้นหลังคามันพังเลยซ่อมง่าย แต่วันนี้ฐานรากเศรษฐกิจมันพังจึงต้องใช้เวลาซ่อมหน่อย ซึ่งซ่อมได้แต่ต้องให้เวลารัฐบาลได้ทำงานหน่อย

นายทักษิณยังกล่าวต่อว่าแม้ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้จะมีชื่อของตนเองอยู่ในญัตติ ก็เชื่อว่านายกฯ จะผ่านไปได้เพราะตัวนายกฯ เมื่อรับหน้าที่นี้ก็รู้อยู่แล้วว่าการอภิปรายไม่ไว้วางใจก็เป็นเรื่องธรรมดา การจะใส่ร้ายป้ายสีก็เป็นเรื่องธรรมดาที่ต้องตอบ แต่การบรรจุญัตติที่มีชื่อบุคคลภายนอกเป็นอำนาจหน้าที่ของประธานสภาไม่ได้เกี่ยวกับรัฐบาล

ผู้สื่อข่าวจึงถามนายทักษิณว่าหากจะให้ใช้คำแทนคิดว่าคำไหนเหมาะ ซึ่งนายทักษิณหัวเราะก่อนตอบว่า “จะเรียกอะไรก็เรียกไม่เป็นไรไม่มีปัญหา ยังไงก็ได้แต่เอาให้หล่อหน่อย”

ผู้สื่อข่าวจึงตอบนายทักษิณว่าตอนนี้เหมือนมีอยู่สามคำ คือคำว่า “พ่อ” “ชายคนนั้น” และ “สทร.” ซึ่งนายทักษิณตอบว่าเอาเลยไม่มีปัญหาอะไรก็ได้ ผมรับได้หมด ขอให้มันเป็นไปตามกติกาของสภาและหากสภาจะว่ายังไงก็ว่ากัน ส่วนที่บอกว่าตนเองสามารถเข้าไปชี้แจงในสภาฯ ได้นั้น นายทักษิณตอบว่า กติกามันได้หรือเปล่า ไม่เห็นมีที่ไหนทำกัน เมื่อเป็นคนรุ่นใหม่ก็ต้องรักษากติกา

รับ คุย เนวิน-อนุทิน บ้านจันทร์ส่องหล้าปม ตรวจสอบ เลือก สว.

นายทักษิณ ยังกล่าวถึงกรณีที่ สว. ยื่นร้อง ป.ป.ช. เอาผิดนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และบอร์ดคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) ผิด มาตรา 157 หลังรับเป็นคดีพิเศษ แทรกแซงอำนาจวุฒิสภาอย่างร้ายแรง โดยนายทักษิณ อธิบายว่าเป็นการสรุปเร็วไปนิด คณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. เวลาใครไปยื่นเรื่องไว้พิจารณาก็ไม่ได้แปลว่ารับแล้วจะต้องถูกหรือผิด แต่กระบวนการมันเริ่มต้นที่ กกต. ได้เชิญดีเอสไอเข้าไปร่วมเป็นกรรมการในการสอบเรื่อง สว. และเมื่อดีเอสไอได้รับการสั่งให้เป็นกรรมการร่วม คนจึงไปแจ้งความที่ดีเอสไอเยอะ ทำให้ดีเอสไอมีหลักฐานเป็นจำนวนมาก เมื่อ กกต. ไม่ได้รับเรื่องไปทำเองดีเอสไอจะมีความรู้สึกว่าถูกมอบหมายหน้าที่จึงทำต่อ เมื่อกระบวนการเป็นแบบนี้ก็ต้องเป็นไปตามกระบวนการ ยืนยันไม่ใช่การล้างบาง สว. สีน้ำเงิน

นายทักษิณยังยอมรับว่าได้คุยเรื่องนี้กับนายเนวิน ชิดชอบ ประธานบริหารสโมสรฟุตบอลบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ว่าเมื่อกระบวนการมันเริ่มไปแล้วก็ต้องเป็นไปตามกระบวนการไม่มีใครสามารถไปบิดเบี้ยวหรือหยุดกระบวนการนั้นได้ ส่วนที่สังคมมองว่าการตรวจสอบกระบวนการเลือก สว. ที่ดีเอสไอรับเป็นคดีพิเศษ ข้อหาดูเบาลงเป็นเพราะนายเนวินและนายอนุทินเข้าไปคุยกับตนเองที่บ้านจันทร์ส่องหล้า นายทักษิณกล่าวว่า เราเป็นพรรคร่วมกันก็ต้องคุยกันเป็นเรื่องธรรมดา ตนเองในฐานะที่เป็นคนแก่ทางการเมืองก็มีคนแวะไปปรึกษา แต่ไม่มีอำนาจจะสั่งการใครทั้งสิ้น แต่ให้คำแนะนำคำปรึกษาในฐานะคนที่เคยทำงานด้วยกันมา และตนเองก็เคยเป็นหัวหน้าพรรคและนายเนวินก็เคยเป็นลูกพรรคของตนเองจึงเป็นเรื่องธรรมดา

ส่วนทั้งสองคนน้อมรับคำชี้แนะของตนเองด้วยหรือไม่ นายทักษิณกล่าวว่า ตนเองก็ให้คำปรึกษาไปส่วนเขาจะเชื่อไม่เชื่อก็เป็นเรื่องของเขา เราในฐานะเป็นคนแก่ก็มีหน้าที่ให้คำปรึกษาและเชื่อว่าเรื่องนี้ไม่กระทบกับความสัมพันธ์ของรัฐบาล