มติ 8 ต่อ 1 ศาลรัฐธรรมนูญยกคำร้องที่รัฐบาลขอให้ตีความนิยามของความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์อันเป็นคุณสมบัติสำคัญของรัฐมนตรีและผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
เพราะไม่เข้าหลักเกณฑ์ เพราะเป็นอำนาจหน้าที่ของนายกรัฐมนตรี จึงต้องรับผิดชอบ
ยันรัฐธรรมนูญวางกลไกป้องกันทุจริต ประพฤติมิชอบเข้มข้นอยู่แล้ว
เป็นอันว่า การแต่งตั้งรัฐมนตรีและผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
ขึ้นอยู่กับดีลพินิจของนายกรัฐมนตรี ซึ่งจะต้องรอบคอบโดยยึดหลักวิญญูชนด้วย
นั่นคือมาตรฐานที่ใช้วัดในเรื่องนี้
ความจริงแล้วเรื่องนี้ก็น่าจะรู้อยู่แก่ใจดีแล้วทั้งผู้แต่งตั้งและ
ผู้ถูกแต่งตั้งว่า ลักษณะไหนเข้าข่ายหรือไม่
อย่างกรณีที่ “เศรษฐา ทวีสิน” อดีตนายกรัฐมนตรี ที่แต่งตั้งรัฐมนตรีแล้วถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้พ้นจากตำแหน่งก็เพราะบุคคลที่ได้รับการแต่งตั้งนั้น
มีพฤติกรรมที่ส่อทุจริตประพฤติมิชอบฝ่าฝืนจริยธรรมร้ายแรงเรื่อง “ถุงขนม” ซึ่งผู้คนในสังคมต่างก็ทราบกันดี
แล้วยังตั้งอีก!
เรื่องนี้จึงน่าจะเป็นบรรทัดฐานที่นายกรัฐมนตรีสามารถนำไปเทียบเคียงได้ว่า ใครที่มีประวัติลักษณะอย่างนี้
ก็อย่าไปแต่งตั้งก็จบ...
พูดง่ายๆว่ารู้อยู่แก่ใจดีแล้วยังไปตั้งอีกก็ไม่ควรที่จะปฏิบัติหน้าที่ต่อไป
แน่นอนว่า การที่รัฐบาลยื่นคำร้องเพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญนั้น ก็เพื่อนำไปเป็นคู่มือหรือนำไปใช้ข้ออ้างข้อกำหนดในการเลือกตั้ง
ทั้งๆที่รู้อยู่แก่ใจว่าอะไรอย่างไรดีอยู่แล้ว
แต่เพื่อให้รอดพ้นจากความผิดพลาดและการตีความ เพราะมันหมายถึงตำแหน่งที่ดำรงอยู่จะต้องพ้นไปด้วย
ความจริงแล้วมาตรฐานในเรื่องนี้ถือว่าเป็นเรื่องดีต่อระบบการเมืองโดยรวม เพราะสามารถป้องกันไม่ให้นักการเมืองที่มีประวัติด่างพร้อยได้เข้ามาทำหน้าที่สำคัญ
...
จึงไม่แปลกที่นักการเมือง ซึ่งรู้ตัวเองดีว่ามีประวัติไม่ดีจึงไม่ขอ รับตำแหน่งรัฐมนตรีในรัฐบาลชุดนี้ โดยอ้างเหตุผลไปต่างๆนานา
แต่ความจริงก็เรื่องนี้แหละ...
เพราะถ้ามีปัญหานายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นคนแต่งตั้งจะพลอยซวยไปด้วย
ว่าให้ถึงที่สุดนายกรัฐมนตรีก็คงพอใจในความเป็นไปเช่นนี้ เพราะนอกจากจะทำให้เกิดปัญหาแล้วยังทำให้ภาพลักษณ์ของรัฐบาลเสียหายไปด้วย
ประเด็นสำคัญคือบรรดามีคนพวกนี้ธรรมดาเสียที่ไหน
เป็นอันว่า การที่ศาลไม่รับคำร้องในเรื่องนี้ทำให้นายกรัฐมนตรีมีอำนาจเต็มๆที่จะใช้ดุลพินิจของตัวเองในการเลือกตั้งใครเข้ามาเป็นรัฐมนตรีและผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
ไม่ว่าจะมาจากพรรคไหนก็ตาม!
ไม่ว่าจะเป็น “เด็กเส้น-เด็กฝาก” ก็ไม่มีความหมาย
อีกทั้งพวกที่สับรางรอคิวอยู่ก็หมดหวังไปตามๆกัน เพราะบรรทัดฐานนี้คงใช้ได้ต่อจนกว่าจะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อกำหนดให้ชัดเจนในโอกาสต่อไป
ซึ่งดูแล้วโอกาสค่อนข้างจะริบหรี่ เพราะการแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่ใช่เรื่องง่ายๆที่จะมีการยื่นคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญบอกคำตอบเรื่องประชามติกี่ครั้ง
ก็คงไม่ต่างไปจากกรณีนี้คือยกคำร้อง
ทำให้ไม่สามารถแก้รัฐธรรมนูญได้ในรัฐบาลชุดนี้ เพราะ สว.ที่คัดค้านก็คงจะยืนหลักการต่อไป คือไม่แก้
ถ้าอยากแก้ก็ต้องชนะเลือกตั้งแบบขาดลอยนั่นแหละ!
สายล่อฟ้า
คลิกอ่านคอลัมน์ “กล้าได้กล้าเสีย” เพิ่มเติม