เพื่อไทยเชียร์ “วันนอร์” ตัดไฟต้นลม ถอนชื่อ “ทักษิณ” พ้นญัตติซักฟอกหวั่นสภาฯปะทะคารมเดือด“ชูศักดิ์” เตือนล็อกเป้านายกฯ แต่อภิปรายแค่เกริ่นนำเป็นทางผ่านไปสู่ รมต.เจอประท้วงตีรวนแน่ “ศิริกัญญา” ยันฝ่ายค้านไม่แก้ญัตติ เย้ยอย่ากลัวเกินเหตุ “โรม” อัด “วันนอร์” กลั่นแกล้ง ฉะแรงรับงานปกป้องนายใหญ่ ทำตัวเอียงไม่สมเป็นประธาน “วันนอร์” ออกโรงประกาศลั่น ฝ่ายค้านไม่แก้ญัตติก็ไม่ต้องอภิปราย ชี้แค่พาดพิงยังไม่ได้เขียนลงญัตติมันหนักไป โวยถูกฟ้องคนแรกคือตัวประธานฯ

จากกรณีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหนังสือด่วนถึงนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ผู้นำฝ่ายค้าน และหัวหน้าพรรคประชาชน ขอให้แก้ไขข้อบกพร่องในญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไป เพื่อลงมติไม่ไว้วางใจ เพราะมีการระบุชื่อนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ที่เป็นบุคคลภายนอก เอาไว้ในญัตติ อาจทำให้เกิดความเสียหาย

เพื่อไทยเชียร์ “วันนอร์” ตัดไฟต้นลม

เมื่อวันที่ 8 มี.ค. นายชูศักดิ์ ศิรินิล รมต.ประจำ สำนักนายกรัฐมนตรี รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร สั่งให้แก้ญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจของฝ่ายค้าน หลังพบข้อบกพร่อง มีชื่อบุคคลภายนอกอยู่ในญัตติว่า เข้าใจได้ว่าให้ไปแก้ไขส่วนที่เป็นปัญหาคือการระบุชื่อบุคคลภายนอก ตามข้อบังคับเขียนห้ามไว้ห้ามอภิปรายถึงบุคคลภายนอกโดยไม่จำเป็น แต่ที่สำคัญที่เขียนไว้คือ ในรัฐธรรมนูญที่บอกว่าการกล่าวถึงบุคคลภายนอก หากเป็นความผิดทั้งทางอาญาและหรือทางแพ่ง ผู้กล่าวไม่ได้รับเอกสิทธิ์ต้องรับผิดชอบ อาจถูกฟ้องร้องได้ นอกจากนั้นบุคคลภายนอกที่ได้รับความเสียหาย อาจร้องขอให้ประธานสภาฯลงคำชี้แจงให้ได้อีกด้วย เข้าใจว่าประธานสภาฯ อาจพิจารณาว่าญัตติมีข้อบกพร่องและจะมีปัญหาตรงนี้ เพื่อป้องกันมิให้เกิดปัญหาตามมาในการอภิปราย ตัดไฟเสียแต่ต้นลม ตัดปัญหาการประท้วงกันวุ่นวาย ทำให้การอภิปรายเดินไปได้ยากลำบาก

...

หวั่นวุ่นซักฟอกนายกฯแค่เกริ่นนำ

นายชูศักดิ์กล่าวว่า ส่วนกรณีการอภิปรายรัฐมนตรีที่อาจเป็นปัญหา เพราะญัตติที่เขียนมุ่งหมายไปที่นายกรัฐมนตรีว่าปล่อยปละละเลย ปล่อยให้รัฐมนตรีกระทำไม่ถูกไม่ชอบ แล้วก็อธิบายถึงการกระทำของรัฐมนตรีอย่างนั้นอย่างนี้ ที่จะเป็นปัญหาคือถ้าอภิปรายเกริ่นนำนายกฯสักห้านาที สิบนาที ที่เหลือรัฐมนตรีล้วนๆ จะมีการประท้วงว่าญัตติไม่ได้อภิปรายรัฐมนตรี สมัยเป็นฝ่ายค้านจำได้ว่าเขียนญัตติให้ครอบคลุมทั้งนายกฯและรัฐมนตรี ที่พูดมาเป็นการมองภาพโดยรวม ไม่ได้มีเจตนาไปขัดขวางสกัดกั้นฝ่ายค้านอะไรทั้งสิ้น เข้าใจดีว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจเป็นหน้าที่สำคัญของฝ่ายค้านตามรัฐธรรมนูญ

“พิเชษฐ์” รับหนักแน่ถ้าไม่แก้ญัตติ

นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า หากฝ่ายค้านไม่แก้ไขญัตติ อภิปรายไม่ไว้วางใจที่มีการระบุชื่อนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ก็จะมาหนักที่การควบคุมการประชุม เพราะมีชื่อบุคคลภายนอกอยู่ หากไม่ระบุชื่อในญัตติ ใครอยากพูดอะไรก็พูดได้ แต่ถ้าเกิดความเสียหายก็รับผิดชอบเอง แต่พอชื่ออยู่ในญัตติการควบคุมการประชุมจะยากและวุ่นวายไม่จบ หากเกิดความ เสียหายกับบุคคลภายนอก มีการฟ้องร้อง ต้องถูกฟ้องทั้งหมด ตั้งแต่คนบรรจุวาระ คนอนุญาต เอาไปเอามาจะไม่เป็นงานบ้านเมือง จะกลายเป็นเรื่องตัวบุคคลมากกว่าหรือไม่ เอาเรื่องคอร์รัปชัน เอาเรื่องการ บริหารมาอภิปรายดีกว่าเอาเรื่องครอบครัวมาพูดหรือไม่ และสิ่งที่ต้องการคืออยากให้เกิดความเรียบร้อย อย่างไรก็ตาม การที่ฝ่ายค้านบอกจะไม่แก้ไขญัตตินั้น คงต้องมีการหารือกัน

ฝ่ายค้านอย่ารั้น-ข้องใจหวังป่วน

นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า สาเหตุที่ให้ถอดชื่อนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ เพราะการระบุรายชื่อบุคคลภายนอกในญัตติ อาจทำให้ได้รับความเสียหายและไม่สามารถชี้แจงในที่ประชุมสภาได้ วิญญูชนฟังแล้วเข้าใจได้ง่ายๆ หรือว่าถ้าไม่มีชื่อนายทักษิณในญัตติฝ่ายค้านจะไม่มีเรื่องพูดหรืออย่างไร แต่อภิปรายรอบนี้ฝ่ายค้านน่าจะมีขวัญกำลังใจดีเพราะมีเจ้าของวลีใจบันดาลแรง มาอยู่ด้วยกัน แม้ตอนหาเสียงเลือกตั้ง จะประกาศชัดว่า มีเราไม่มีลุง แต่วันนี้มีเราต้องมีลุงเสียแล้วก็ไม่ถือเป็นปัญหา ฝ่ายค้านอย่ารั้นเลย ถ้าไม่ได้หวังป่วน หวังสร้างคอนเทนต์ให้วุ่นวาย แล้วก็จินตนาการไปเองว่ารัฐบาลจะยุบสภา

“ไหม” ยืนกรานฝ่ายค้านไม่แก้ญัตติ

ด้าน น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคประชาชนให้สัมภาษณ์ถึงกรณีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาฯ ทำหนังสือด่วนถึงนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ผู้นำฝ่ายค้าน และหัวหน้าพรรคประชาชน ให้ถอดชื่อนายทักษิณ ชินวัตร ออกจากเนื้อหาญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจว่า ยืนยันว่าเป็นสิทธิโดยชอบตามรัฐธรรมนูญ ที่ฝ่ายค้านสามารถตั้งญัตติได้ และสภาฯไม่มีอำนาจเข้ามาแทรกแซงให้มีการแก้ไขญัตติ ถ้าญัตติบกพร่องมีคำผิดไม่ตรงตามรัฐธรรมนูญ แบบนั้นถึงจะต้องมีการแก้ไข แต่ว่าเรื่องเนื้อหาไม่ได้มีข้อกฎหมายอะไรที่ให้แก้ไขได้ จริงๆแล้วในข้อบังคับเขียนเพียงแค่ว่าห้ามพูดถึงคนนอกโดยไม่จำเป็น แต่ถ้าจำเป็นที่จะต้องใช้ในการวิพากษ์วิจารณ์ การบริหารราชการของนายกฯ ก็ต้องพูด โดยเราจะมีหนังสือยืนยันกลับไปว่าเราไม่แก้

เย้ยอย่าประท้วงมั่วกลัวเกินเหตุ

น.ส.ศิริกัญญากล่าวอีกว่า ตามญัตติเราไม่ได้บอกว่านายทักษิณผิด ไม่ได้จะอภิปรายนายทักษิณ แต่เป็นบริบทของนายกฯที่อยู่ภายใต้ของการชักจูงให้กระทำหรือไม่กระทำ เป็นความผิดของนายกฯอยู่แล้ว ถ้าอยู่ดีๆไปพูดถึงความผิดของนายทักษิณก็ให้ สส.รัฐบาลประท้วงได้เลยว่ามันไม่อยู่ในญัตติ อันนี้ก็ทำหน้าที่ของเราไป อย่ากังวลจนเกินเหตุ ถ้าสื่อสามารถไปสัมภาษณ์นายทักษิณได้จะดีมาก ว่ากังวลหรือเปล่าที่ฝ่ายค้านระบุชื่ออยู่ในญัตติ หรือนายทักษิณเองไม่ได้กังวล กลายเป็นบริวารที่กังวลแทน สำหรับองครักษ์พิทักษ์นายกฯนั้น ไม่ได้กังวล ผ่านศึกมาหลายครั้ง ประท้วงจนไม่ได้พูดก็เคยมาแล้ว เราจะมีทีมที่จะโต้ฝ่ายที่ประท้วงด้วยเช่นเดียวกัน หรือถ้าไม่สามารถพูดได้จริงๆ ก็ไปพูดนอกห้องประชุม มีอีกหลายแนวทางที่เราสามารถจะรับมือกับเรื่องนี้ได้

“โรม” ซัด “วันนอร์” แกล้งฝ่ายค้าน

นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน โพสต์เฟซบุ๊กว่า การที่นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาฯ สั่งให้ฝ่ายค้านแก้ญัตติเอาชื่อนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯออก คือการใช้อำนาจเอื้อพวกพ้อง และหวังสกัดฝ่ายค้านไม่ให้ตรวจสอบรัฐบาล เป็นการใช้อำนาจไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะเป็นที่ประจักษ์ชัดอยู่แล้วว่านายทักษิณเป็นที่สงสัยว่าเข้ามาเกี่ยวข้องกับการบริหารบ้านเมือง ทิศทางของประเทศหลายเรื่องเราได้ยินจากปากอดีตนายกฯ ไม่ใช่จากนายกฯ วันนี้คนรอฟังจากนายกฯผู้พ่อไม่ใช่ผู้ลูก ดังนั้น ถ้าห้ามฝ่ายค้านเขียนญัตติโดยระบุชื่อนายทักษิณ ไม่ต่างอะไรกับการใช้อำนาจโดยมิชอบเพื่อกลั่นแกล้งฝ่ายค้านให้ทำหน้าที่ได้ไม่เต็มที่

ฉะแรงรับงานปกป้อง “นายใหญ่”

นายรังสิมันต์กล่าวว่า ความบกพร่องในที่นี้ต้องมีลักษณะเป็นความบกพร่องในรูปแบบหรือมีฐานทางกฎหมายไม่ครบถ้วนในการที่จะเสนอญัตติได้ เช่น จำนวนผู้ลงชื่อเสนออภิปรายไม่ไว้วางใจไม่ครบ ขาดตกบกพร่องหรือลายเซ็นผิดพลาด ลักษณะแบบนี้มันถึงจะเข้าเกณฑ์ว่าเป็นความบกพร่องการใช้อำนาจ มั่วซั่ว โดยถือว่าการระบุชื่อบุคคลภายนอกเป็นความบกพร่องนั้น เป็นการใช้อำนาจที่เกินขอบเขตไปมาก เชื่อว่าเจ้าหน้าที่สภาฯรู้ดีว่าการใช้อำนาจแบบนี้ เป็นการใช้อำนาจที่ไม่ชอบ แต่คงจะถูกกดดันหรือ ถูกสั่งให้ทำแบบนี้ เนื่องจากประธานสภาฯรับงานมาและปกป้องนายใหญ่ จึงให้ทำทุกวิถีทางเพื่อสกัดไม่ให้ฝ่ายค้านสามารถทำหน้าที่ได้อย่างเต็มที่

สับแหลกไม่เหมาะเป็นประธาน

นายรังสิมันต์กล่าวด้วยว่า การใช้อำนาจของประธานสภาฯยังเลวร้ายไปอีก เมื่อพบว่าการทำหนังสือ แจ้งมาที่ฝ่ายค้านกลับพบว่าขัดแย้งต่อข้อบังคับการประชุมข้อที่ 176 หากพบว่าญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจมีความบกพร่องจะต้องแจ้งต่อผู้เสนอภายใน 7 วัน ปรากฏว่าการแจ้งของประธานสภาฯกลับเกินกำหนดไปแล้ว ยิ่งตอกย้ำว่าการใช้อำนาจนี้เป็นการใช้อำนาจที่ไม่สุจริต เพื่อหวังปกป้องบุคคลที่ตัวเองรับใช้เท่านั้น ทั้งนี้ ยืนยันว่าการเสนอญัตติที่มีการระบุชื่อบุคคลภายนอกไม่ใช่เรื่องใหม่ เป็นเรื่องที่ทำกันมาโดยตลอด ผู้อาวุโสที่ผ่านร้อนผ่านหนาวควรทำหน้าที่เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ในสภาฯ ยึดถือกฎเกณฑ์ วางตัวเป็นกลาง ให้สมบทบาทของประธานสภาฯ ไม่ใช่ทำตัวเอนเอียงเข้าข้างรัฐบาล ไม่มีความเหมาะสมของการเป็นประธาน จะหนีการตรวจสอบของสภาด้วยวิธีนี้กันจริงๆหรือ

“วันนอร์” ลั่นไม่แก้ไม่ต้องอภิปราย

นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทน ราษฎร กล่าวถึงกรณีฝ่ายค้านยืนยันไม่แก้ไขญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายก รัฐมนตรี ว่า ถ้าฝ่ายค้านไม่แก้ ประธานซึ่งมีอำนาจหน้าที่บรรจุระเบียบวาระ ก็ไม่บรรจุระเบียบวาระ ถ้าอยากจะอภิปรายต้องแก้ญัตติ ต้องดำเนินการตามข้อบังคับ ถ้าบรรจุวาระไปจะผิดเรื่องการดูแลความเรียบร้อย หากเกิดการฟ้องร้องขึ้นมา ตามข้อบังคับระบุชัดเจนห้ามกล่าวถึงบุคคลภายนอกโดยไม่จำเป็น แค่กล่าวก็ห้ามแล้ว แต่นี่เขียนลงไปในญัตติ ยิ่งหนักกว่าการกล่าวถึง การกล่าวถึงบอกให้ถอนได้ แต่เขียนในญัตติ ถ้าอนุมัติไปก็ถอนไม่ได้แล้ว ได้เรียกผู้นำฝ่ายค้านมาคุย ให้เอาญัตติไปแก้ ผู้นำฝ่ายค้านขอกลับไปปรึกษาก่อน เลยให้สภาฯแจ้งว่า ให้มาแก้เรื่องมีชื่อบุคคลภายนอก เพราะผิดข้อบังคับ

โวยถูกฟ้องคนแรกก็คือประธาน

เมื่อถามว่าหากฝ่ายค้านไม่แก้ญัตติ ยังมีโอกาสคุยกับฝ่ายค้านเพื่อตกลงกันหรือไม่ นายวันมูหะมัดนอร์ตอบว่า ยังมีเวลา ต้องดูว่าฝ่ายค้านยื่นอุทธรณ์ประเด็นใด ต้องเห็นหนังสือก่อนว่าอุทธรณ์ประเด็นใด ต้องเชิญเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร และฝ่ายกฎหมายมาคุย น่าจะเป็นวันที่ 10 มี.ค. หรือ 11 มี.ค. หรือสัปดาห์หน้า ฝ่ายค้านคงยื่นคำอุทธรณ์มา เราพร้อมดำเนินการให้การประชุมเกิดความเรียบร้อย ไม่ผิดข้อบังคับ ส่วนเรื่องวันอภิปรายที่ฝ่ายค้านขอมา 5 วันนั้น ต้องคุยกันในวิป 3 ฝ่าย ได้มอบหมายนายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาฯ เชิญหารือเมื่อมีการบรรจุญัตติ ทั้งนี้ ไม่สามารถบอกได้ว่าอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯคนเดียวควรใช้เวลากี่วัน ต้องคุยกันแล้วแต่ความเหมาะสม ยืนยันต้องดำเนินการทุกอย่างให้การประชุมดำเนินไปได้เรียบร้อย ไม่ผิดข้อบังคับ จะเกิดการฟ้องร้อง ถ้าประธานเป็นคนสั่งบรรจุ โดยมีชื่อบุคคลภายนอกก็ต้องฟ้องประธานเป็นคนแรก เพราะเป็นผู้บรรจุ และฟ้องผู้เสนอญัตติเป็นจำเลยที่ 2 ที่ 3 ต่อไปซึ่งไม่ควรมี

วอนเข้าใจ “พิชัย” หวังดีช่วยชาวนา

นายวรชัย เหมะ ที่ปรึกษา รมว.พาณิชย์กล่าวถึงเสียงวิพากษ์วิจารณ์นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รมว.พาณิชย์ กรณีแนะนำให้ชาวนาหันไปปลูกกล้วยแทนข้าวเพื่อเพิ่มรายได้ว่า สถานการณ์ของชาวนาไทยจากอดีตที่มีที่ดินเป็นของตัวเอง แต่ปัจจุบันต้องขายที่ดินให้นายทุนแล้วเช่าจากนายทุนมาทำนา ลำบากยากจนถูกเอารัดเอาเปรียบมาตลอด สิ่งที่นายพิชัยเสนอให้ปลูกกล้วยนั้นเป็นทางเลือก หากพี่น้องชาวนาคนไหนมีความสามารถที่จะขยับปรับเปลี่ยนได้เพื่อทำให้คุณภาพชีวิตตัวเองดีขึ้น อย่าเพิ่งมองข้ามข้อเสนอแนะนี้ไป เพราะวันนี้โลกกว้างเกษตรกรมีทางเลือกหลายทาง อยากให้เปิดใจรับฟังข้อเสนอแนะใหม่ๆกันบ้าง และอย่านำข้อเสนอแนะดีๆมาเป็นประเด็นในการทิ่มแทง เพราะตนเชื่อว่าสิ่งที่นายพิชัยพูดไปนั้นมาจากเจตนาหวังดีที่ต้องการยกระดับชีวิตชาวนา

พปชร.ได้ทีขย่มซ้ำเรื่องกล้วยๆ

พล.ต.ท.ปิยะ ต๊ะวิชัย โฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า ความเดือดร้อนของชาวนาจากราคาข้าวตกต่ำนอกจากรัฐบาลจะไร้มาตรการช่วยเหลือเยียวยาแล้ว ยังผลักไสให้เปลี่ยนไปปลูกกล้วยแทน ด้วยแนวคิดว่าราคากล้วยดีกว่าราคาข้าว แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลไร้ประสิทธิภาพในการแก้ปัญหา พรรคพลังประชารัฐยินดีให้ลอกนโยบายที่ทำแล้วได้ผลแน่นอน เทียบระหว่างโครงการให้เงินช่วยเหลือชาวนาไร่ละ 1,000 บาท ไม่เกินรายละ 10 ไร่ ซึ่งจะได้เงินช่วยเหลือไม่เกิน 10,000 บาทนั้น ไม่เพียงพอต่อการขาดทุนของชาวนา เดิมรัฐบาลสมัยพรรคพลังประชารัฐเป็นแกนนำ ได้ให้เงินช่วยเหลือเกษตรกรชาวนาไร่ละ 1,000 บาท ไม่เกินรายละ 20 ไร่ เกษตรกรหนึ่งรายได้เงินช่วยเหลือไม่เกิน 20,000 บาท ถึงจะเพียงพอที่จะบรรเทาความเดือดร้อนเบื้องต้นได้ในระดับหนึ่ง ถ้ารัฐบาลไม่มีความสามารถในการบริหารประเทศ เปิดทางให้พรรคการเมืองอื่นเป็นแกนนำในการบริหารประเทศจะดีกว่า

นายกฯมุ่งมั่นผลักดันบทบาทสตรี

วันเดียวกัน น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายก รัฐมนตรี กล่าวคำปราศรัยเนื่องในโอกาส “วันสตรีสากล” ประจำปี 2568 ผ่านเฟซบุ๊กไทยคู่ฟ้า มีเนื้อหาสรุปว่าประเทศไทยเป็น 1 ใน 60 ประเทศทั่วโลก และ 1 ใน 10 ประเทศเอเชีย ที่เคยมีผู้นำเป็นผู้หญิง มีสัดส่วน CEO เป็นผู้หญิง สูงเป็นอันดับ 3 ของโลกสะท้อนว่าสังคมไทยให้พื้นที่กับผู้หญิงอย่างเท่าเทียม เชื่อมั่นว่าผู้หญิงทุกคนสามารถก้าวขึ้นไปเป็นผู้นำได้ในทุกเวทีทุกระดับ ขอขอบคุณทุกคนที่ร่วมกันต่อสู้กับการเลือกปฏิบัติ นำมาสู่การเปลี่ยนแปลงค่านิยมของสังคม สร้างโอกาสให้ผู้หญิงไทยจนมาถึงวันนี้ แต่สังคมไทยยังต้องต่อสู้กับอคติทางเพศในอีกหลายประเด็น ทั้งความรุนแรงในครอบครัว ความคาดหวังที่มีต่อผู้หญิงในกรอบวิธีคิดชายเป็นใหญ่ รัฐบาลจะผลักดันนโยบายความเสมอภาคทางเพศอย่างเต็มความสามารถ ทั้งในระดับครอบครัว สถาบันการศึกษา และสถานประกอบการ รวมถึงการพัฒนานโยบายที่เอื้อต่อการทำงานของผู้หญิง ไม่ว่าจะเป็นการขยายวันลาหลังคลอด และสานต่อนโยบายกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี สร้างโอกาสให้ผู้หญิงเข้าถึงแหล่งเงินทุนเพื่อพัฒนาอาชีพ และขอแสดงความยินดีกับทุกคนที่ได้รับรางวัลเชิดชูเกียรติของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เนื่องในวันสตรีสากลประจำปี 2568 ภายใต้แนวคิด “3 ทศวรรษ ปฏิญญาปักกิ่ง : โอกาสและความท้าทายสู่ความเสมอภาคของสตรีและเด็กหญิง”

“หญิงหน่อย” หนุนยกระดับทุกมิติ

คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย กล่าวว่าเนื่องในวันสตรีสากล พรรคสนับสนุนบทบาทของสตรีในทุกมิติ พร้อมเรียกร้องให้รัฐบาลภายใต้การนำของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้ความสำคัญกับนโยบายส่งเสริมสิทธิความเสมอภาคและโอกาสที่เท่าเทียมกันสำหรับผู้หญิงไทย ขอเสนอให้รัฐบาลเร่งผลักดันมาตรการสำคัญ ทั้งในด้านความเท่าเทียมทางเพศและสังคม มาตรการป้องกันความรุนแรงต่อสตรี การส่งเสริมเศรษฐกิจและการเงิน การขยายโอกาสทางการศึกษา การส่งเสริมสิทธิแรงงานหญิง และการพัฒนาบริการด้านสุขภาพสตรี จากสถิติแม้จำนวนผู้หญิงในสภาผู้แทนราษฎรไทยจะเพิ่มขึ้นเป็น 19.4% แต่ยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยโลก (26.6%) และอาเซียน (23%) ยังมีพื้นที่อีก มากที่สามารถผลักดันให้ผู้หญิงมีบทบาทสำคัญมากขึ้น ไม่เพียงแต่ในทางการเมืองแต่ยังรวมถึงเศรษฐกิจและสังคม

จี้เปลี่ยนแปลงไม่ใช่แค่วันรำลึก

น.ส.เจนจิรา รัตนเพียร โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่าการเฉลิมฉลองวันนี้ไม่ควรเป็นเพียงสัญลักษณ์หรือคำขวัญสวยหรู แต่ต้องนำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่ทำให้ผู้หญิงได้รับสิทธิอย่างเท่าเทียมในทุกมิติของสังคมไม่ใช่แค่วันรำลึก ปัจจุบันผู้หญิงนอกจากจะเป็นกำลังสำคัญของประเทศแล้ว ยังเป็นเจ้าของโอกาสในทุกพื้นที่ของสังคม ดังนั้นวันนี้จึงไม่ควรมีเพียงการยกย่องบทบาทของผู้หญิงเท่านั้น แต่ต้องผลักดันให้เกิดนโยบายที่เป็นรูปธรรม โดยมี 3 ประเด็นสำคัญที่ต้องเร่งแก้ไขคือ 1.โอกาสที่เท่าเทียมในที่ทำงานและการเมือง โดยมีมาตรการสนับสนุนที่เป็นรูปธรรม 2.ความปลอดภัยและสิทธิในร่างกาย เรื่องความรุนแรงต่อผู้หญิงและการล่วงละเมิดทางเพศยังเป็นปัญหา 3.การสนับสนุนทางเศรษฐกิจ ผู้หญิงต้องได้รับโอกาสอย่างเท่าเทียมในธุรกิจและแรงงาน

อ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่