สภาผู้บริโภค ยื่น กมธ. พัฒนาเศรษฐกิจตรวจสอบการประมูลคลื่นความถี่ กังวลแข่งขันไม่เป็นธรรม ไร้มาตรการคุมค่าบริการ หลังควบรวมมือถือค่ายดังกลับทำค่าบริการแพงขึ้น
วันที่ 6 มีนาคม 2568 ที่รัฐสภา นายอิฐบูรณ์ อ้นวงษา รองเลขาธิการสำนักงานสภาผู้บริโภค นางสาวสุภิญญา กลางณรงค์ ประธานอนุกรรมการด้านการสื่อสาร โทรคมนาคม และเทคโนโลยีสารสนเทศ พร้อมเครือข่ายสมาชิกสภาผู้บริโภค เข้ายื่นหนังสือต่อนายสิทธิพล วิบูลย์ธนากุล ประธานคณะกรรมาธิการการพัฒนาเศรษฐกิจ สภาผู้แทนราษฎร เพื่อให้ข้อเสนอแนวทางป้องกันการผูกขาดในการประมูลคลื่นความถี่ จากกรณีการประชุมคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ที่เห็นชอบให้สำนักงานนำหลักเกณฑ์และวิธีการอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่สำหรับกิจการโทรคมนาคมเคลื่อนที่สากล ย่าน 850 MHz, 1500 MHz, 1800 MHz, 2100 MHz, 2300 MHz และ 26 GHz และรับฟังความคิดเห็นสาธารณะ เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2568 เสนอต่อ กสทช. พิจารณารอบสุดท้าย ก่อนประกาศในราชกิจจานุเบกษา เพื่อให้มีการประมูลแถบคลื่นความถี่สำหรับกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่ ซึ่งคาดว่าจะเริ่มเปิดประมูลภายในไตรมาส 2 ของปี 2568
นายอิฐบูรณ์ ระบุว่า พบการประมูลครั้งนี้ครอบคลุมถึง 6 ย่านความถี่ ได้แก่ คลื่นที่กำลังหมดอายุใบอนุญาตของบริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ NT คลื่นว่างที่ไม่มีผู้ประมูลในรอบที่ผ่านมา คลื่นที่ไม่เคยถูกนำมาประมูลมาก่อน และคลื่นที่ยังไม่หมดอายุแต่ถูกนำมาประมูลล่วงหน้า ซึ่งการนำคลื่นทั้งหมดมาประมูลพร้อมกัน อาจส่งผลกระทบต่อการแข่งขันในตลาดโทรคมนาคมและสิทธิของผู้บริโภค
แม้ว่าการเปิดประมูลคลื่นความถี่พร้อมกันอาจช่วยให้เกิดการบริหารจัดการคลื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่สภาผู้บริโภคตั้งข้อสังเกตว่าไม่มีหลักประกันที่ชัดเจนว่าผู้บริโภคจะได้รับประโยชน์สูงสุด โดยเฉพาะในด้านปริมาณ คุณภาพของการให้บริการ และราคาค่าบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่
...
สภาผู้บริโภคมีความกังวลเรื่องความเสี่ยงในการลดการแข่งขันในตลาด เนื่องจากต้นทุนการเข้าประมูลที่สูงอาจเป็นอุปสรรคต่อผู้ประกอบการรายใหม่ ทำให้ตลาดถูกครอบครองโดยผู้ให้บริการรายใหญ่เพียงไม่กี่ราย และอีกประเด็นคือ ไม่มีมาตรการที่ชัดเจนในการควบคุมค่าบริการหรือกำหนดมาตรฐานคุณภาพการให้บริการ ซึ่งอาจทำให้ผู้บริโภคต้องเผชิญกับค่าบริการที่สูงขึ้นและทางเลือกที่ลดลง สภาผู้บริโภคจึงแสดงความกังวลใน 2 ประเด็นหลัก ได้แก่
1. การประมูลที่จะเกิดขึ้นไม่มีการแข่งขันที่แท้จริง เพราะการประมูลคลื่นความถี่ครั้งนี้ เหลือผู้ให้บริการรายใหญ่เพียงสองราย คือ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือ ทรู กับ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส เท่านั้น อันเกิดจากการที่ กสทช. ปล่อยให้มีการควบรวมธุรกิจในกิจการโทรคมนาคมที่ผ่านมา ซึ่งงานวิจัยของ 101 public policy think tank พบว่า ผู้บริโภคที่ใช้บริการโทรศัพท์มือถือทั้งสองค่ายมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 5.9 หรือต้องจ่ายแพงขึ้นอย่างน้อย 100 บาท ต่อคนต่อเดือน
เมื่อพิจารณาค่าบริการต่อเลขหมายก่อน-หลังควบรวม ผ่านรายได้เฉลี่ยของบริษัทต่อผู้ใช้บริการ 1 คน เนื่องจากแพ็กเกจราคา 299 บาท/เดือน ที่ถูกที่สุดในปี 2022 หายไป ทำให้แพ็กเกจถูกที่สุดในปัจจุบันคือแพ็กเกจ 399 บาท/เดือน ดังนั้น การเปิดประมูลคลื่นความถี่ในคราวเดียวกันทั้งหมด 6 ย่านความถี่ในครั้งนี้ ย่อมส่งผลกระทบต่อปัญหาคุณภาพและราคาของผู้บริโภคที่จะต้องแบกรับในอนาคตอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
2. ไม่มีการกำหนดเพดานราคาค่าบริการสูงสุด เทียบกับปริมาณและคุณภาพของบริการที่ผู้ให้บริการสามารถเรียกเก็บจากผู้บริโภคและผู้ประกอบการโทรคมนาคมรายย่อย (MVNO) ภายใต้เงื่อนไขการแข่งขันการประมูล ซึ่งอาจทำให้ไม่มีหลักประกันว่าผู้บริโภคหรือผู้ประกอบการรายเล็กจะได้รับความคุ้มครองที่เป็นธรรมจากโครงสร้างตลาดที่เปลี่ยนไป
จึงขอให้คณะกรรมาธิการการพัฒนาเศรษฐกิจ สภาผู้แทนราษฎร ตรวจสอบการดำเนินการประมูลคลื่นความถี่ทั้ง 6 ย่านความถี่ของ กสทช. ว่าเป็นไปเพื่อประโยชน์สูงสุดของผู้บริโภค ความมั่นคงของรัฐ และประโยชน์สาธารณะ ตามที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 60 กำหนดหรือไม่ พร้อมทั้งเรียกร้องให้มีมาตรการที่ชัดเจนเพื่อป้องกันการผูกขาด ส่งเสริมการแข่งขันที่เป็นธรรม เพื่อให้ตลาดโทรคมนาคมยังคงเปิดกว้างและเอื้อต่อประโยชน์สูงสุดของผู้บริโภค และหวังว่าคณะกรรมาธิการการพัฒนาเศรษฐกิจจะให้ความสำคัญกับประเด็นดังกล่าว และดำเนินการปกป้องผลประโยชน์ของผู้บริโภคและส่งเสริมการแข่งขันที่เป็นธรรมในตลาดโทรคมนาคม เพื่อประโยชน์สูงสุดของผู้บริโภคและสาธารณะตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ
ด้านนายสิทธิพล วิบูลย์ธนากุล กล่าวภายหลังรับหนังสือว่า เป็นอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมาธิการในการนำเรื่องดังกล่าวดำเนินการต่อไป ขอขอบคุณสภาองค์กรของผู้บริโภคที่ติดตามอย่างจริงจัง ทั้งนี้ ตั้งแต่กรรมาธิการพัฒนาเศรษฐกิจได้เริ่มทำหน้าที่ ก็ได้ติดตามการทำงานของ กสทช. มาโดยตลอด โดยเฉพาะประเด็นเรื่องผลกระทบของการควบรวมอุตสาหกรรม ซึ่งเมื่อ 2 เดือนที่แล้ว กรรมาธิการได้เชิญผู้แทน กสทช. รวมถึงนักวิชาการมาเพื่อมาคุยกันอย่างจริงจัง ว่าเงื่อนไขเฉพาะที่เคยบอกไว้ เรื่องราคา คุณภาพ มีการดำเนินการอย่างไรบ้าง แต่ทาง กสทช. หรือผู้แทน ไม่สามารถให้รายละเอียดได้ชัดเจน รวมถึงยังไม่สามารถทำให้กรรมาธิการเห็นได้ว่าภาคเอกชนปฏิบัติตามเงื่อนไขที่เคยกำหนดไว้
ขอยืนยันว่ากรรมาธิการไม่ได้ละเลย ต้องการเอาจริงเอาจัง เพราะส่งผลกระทบต่อประชาชน ส่วนประเด็นการรับหนังสือวันนี้ มีความสำคัญ 3 มิติ ในมิติแรกคือ เห็นด้วยอย่างยิ่งว่าอุตสาหกรรมโทรคมนาคมมีความจำเป็น และมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อต้นทุนค่าครองชีพของพี่น้องประชาชน ต้องทำอย่างไรเพื่อทำให้ต้นทุนต่ำและมีคุณภาพ จะช่วยทำให้พี่น้องประชาชนมีต้นทุนต่ำลงในการประกอบอาชีพ
ในมิติที่สอง กสทช. ยังไม่สามารถทำให้ประชาชนมั่นใจได้ว่า มีการติดตามมาตรการหรือเงื่อนไขเฉพาะ เพื่อคุ้มครองผู้บริโภคได้อย่างแท้จริง ยิ่งนำมาซึ่งความกังวลว่าในการประมูลรอบถัดไป ว่าผลจะเป็นอย่างไร และมิติสุดท้าย กรรมาธิการจะเชิญ กสทช. มาให้ข้อมูล รายละเอียดในการประมูลคลื่นความถี่ย่านใหม่ 6 ย่านนี้ ว่าจะมีเงื่อนไขใดบ้าง และต้องรับประกันได้ว่าเกิดการแข่งขันจริง ทั้งประโยชน์ที่ภาครัฐ ภาคประชาชนจะได้รับ