นายกรัฐมนตรีหารือผู้บริหาร DKSH ขอช่วยสนับสนุนสินค้าจากชาวนา พร้อมทั้ง Upskill Reskill องค์ความรู้เรื่องยา เวชภัณฑ์ให้กับไทย ก่อนเดินทางไปเบอร์ลิน

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 4 มี.ค. 2568 (ตามเวลาท้องถิ่นนครซูริก ซึ่งช้ากว่าไทย 6 ชั่วโมง) ณ โรงแรม Mandarin Oriental Savoy Zurich สมาพันธรัฐสวิส น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ พบหารือกับนายสเตฟาน บุทซ์ ผู้บริหารบริษัท DKSH Holding Ltd. ระหว่างเดินทางไปยังนครเบอร์ลิน สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี เพื่อร่วมงาน ITB Berlin 2025 โดยนายสเตฟานกล่าวว่า DKSH Holding AG ขอบคุณรัฐบาลที่ให้ความสำคัญกับการลงทุนของบริษัทฯ ในประเทศไทยเสมอมา เชื่อมั่นและสนับสนุนวิสัยทัศน์นายกฯ ที่กำหนดนโยบายที่จะเป็นประโยชน์ และสอดคล้องกับกระแสการพัฒนาของโลกปัจจุบัน ด้าน น.ส.แพทองธารกล่าวว่าขอบคุณที่บริษัทฯ ให้ความสำคัญกับการลงทุนในประเทศไทย และพร้อมให้การสนับสนุนลดขั้นตอน ข้อจำกัดในการขอใบอนุญาตจำหน่ายยาและเวชภัณฑ์ ที่มีกระบวนการและใช้เวลานานเพื่อเอื้ออำนวยการทำธุรกิจมากขึ้น (Ease of Doing Business) และขอให้บริษัทฯ สนับสนุนสินค้าจากชาวนาและเกษตรกรไทยเพื่อส่งเสริมยกระดับสินค้าไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้าเกษตร

นอกจากนี้ทั้งสองฝ่ายได้หารือเรื่องการทำธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นการส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้าขนส่งสินค้า และใช้ประโยชน์จากโครงการ Landbridge ของไทยยกระดับการขนส่งสินค้า โลจิสติกส์ และได้หารือเพื่อเพิ่มการรักษาสิ่งแวดล้อมเพื่อความยั่งยืน ซึ่งเป็นประเด็นที่ทั้งสองฝ่ายตระหนักถึง ถือเป็นความสำคัญ เป็นความท้าทายของโลก โดยนายกรัฐมนตรีพร้อมร่วมมือกับบริษัทฯ ในประเด็นที่เป็นประโยชน์ร่วมกันต่อไป

โดยในช่วงเช้าก่อนการหารือนายกรัฐมนตรีได้ใช้เวลาสำรวจตลาดนัดสินค้าเกษตรบริเวณหน้าโรงแรม ซึ่งเป็นสินค้าที่เกษตรกรนำมาจำหน่ายให้ผู้บริโภคโดยตรงโดยไม่ผ่านพ่อค้าคนกลาง

...

คุยภาคธุรกิจแก้ปัญหางานรัฐซับซ้อน มุ่งเน้นยกระดับสินค้าไทย

จากนั้นเวลา 17.14 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ ทวีตข้อความผ่านเอ็กว่า เป็นเกียรติและยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้พบหารือกับนายสเตฟาน บุทซ์ (Stefan Butz, Chief Executive) บริษัท DKSH Holding AG บริษัทผู้เชี่ยวชาญด้านการขยายตลาดครอบคลุม 4 หน่วยธุรกิจ คือผลิตภัณฑ์อุปโภคบริโภค ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ ผลิตภัณฑ์และวัตถุดิบอุตสาหกรรม และธุรกิจเทคโนโลยี การพูดคุยครั้งนี้เป็นการสานต่อสิ่งที่นายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกฯ เคยหารือไว้ ห้วงการประชุม WEF2024 ที่เมืองดาวอส ถึงข้อจำกัดในการขออนุญาตจำหน่ายยาและเวชภัณฑ์ ที่มีกระบวนการและใช้เวลานานในการขออนุญาตเข้าจำหน่ายในไทย ซึ่งตัวยาและเวชภัณฑ์หลายตัวสำคัญจำเป็นทั้งสำหรับการรักษาโรคและการพัฒนาการรักษาโรคในไทย ดิฉันและทีมไทยแลนด์ได้ย้ำถึงการแก้ปัญหาการดำเนินงานที่ซับซ้อนของภาครัฐ ที่ขณะนี้เรามีนโยบายเอื้ออำนวยการทำธุรกิจมากขึ้น รวมทั้งหารือถึงความเป็นไปได้ในการ Upskill Reskill องค์ความรู้เรื่องยา เวชภัณฑ์ ให้กับคนไทย ซึ่งประเทศไทยเองได้มีการลดระยะเวลาของการขอใบอนุญาต อย. จาก 310 วัน เหลือ 90 วัน ซึ่งจะเป็นการช่วยพัฒนาการศึกษายาเวชภัณฑ์ใหม่ๆ ที่จะเป็นประโยชน์กับคนไทย

น.ส.แพทองธารกล่าวอีกว่า นอกจากนี้ยังได้หารือเรื่องการทำธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นการส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้าขนส่งสินค้า และโครงการ Landbridge ที่จะยกระดับการโลจิสติกส์และโอกาสในการขนส่งของไทย พร้อมกันนี้ทางบริษัทฯ สนใจที่จะลงทุนด้านชิ้นส่วนของ semi-conductor ที่ทางบริษัทฯ มีความเชี่ยวชาญ และตั้งอยู่ในไทยแล้ว ซึ่งถือว่าเป็นภาคอุตสาหกรรมอนาคตที่รัฐบาลต้องการให้การสนับสนุน สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ดิฉันได้พูดคุยวันนี้ คือการส่งเสริมยกระดับสินค้าไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้าเกษตร ที่จะให้ทาง DKSH เป็นตัวกลางในการส่งออกไปยังประเทศต่างๆ ซึ่งจะทำให้สินค้าไทยและเกษตรกรไทยเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก