ในยุคที่พลังของโลกโซเชี่ยล สื่อ และปัญญาประดิษฐ์ มีอิทธิพลต่อการโน้มน้าวความคิด และอารมณ์ของสาธารณะชนมากกว่า ความเป็นจริง
โดยเฉพาะในยามที่ความเชื่อมั่นทางการเมืองอ่อนยวบ หวยขายดีเพราะเศรษฐกิจเติบโตต่ำ และดัชนีหุ้นร่วงกราวรูดแทบทุกวัน ขณะที่ ข่าวปลอม Fake News กับ Content ที่ปล่อยออกมา แทบจะแยกกันไม่ออกว่าจะเชื่ออย่างไหนดี
จึงเป็นเรื่องยากที่จะไปป่าวร้อง หรือประกาศให้ผู้คนหันกลับมาฟังความจริงที่ถูกกลบไปจนหมดสิ้นด้วยอารมณ์ความเชื่อที่อัดแน่นไว้ในจิตใจ
ดร.กีรติ กิจมานะกิจ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT ก็ดูเหมือนจะอยู่ในสถานะเดียวกัน หลังแถลงผลประกอบการไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 68 (ต.ค.- ธ.ค.67)ว่า มีกำไรสุทธิ 5,344. 29 บาทเพิ่มขึ้น 17.12% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 4,563.03 ล้านบาท
แต่กำไรของ AOT และ ดร.กีรติ ไม่มีใครให้ความสนใจเท่ากับสิ่งที่ ดร.กีรติ รายงานให้บรรดาผู้จัดการกองทุนและบริษัทหลักทรัพย์รายใหญ่ๆ ในตลาดหลักทรัพย์ไทยทราบ เท่ากับ ผู้รับสัมปทานของ AOT ซึ่งได้แก่ คิง เพาเวอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล และ คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี ขอเลื่อนระยะเวลาการจ่ายผลตอบแทนออกไป 18 เดือน คิดเป็นวงเงิน 4,000 ล้านบาท
เหตุผลเพราะรายได้ยังไม่กลับมามากพอ หรือเป็นไปตามเป้าหมาย เพราะช่วงเวลาการปิดพื้นที่เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ไม่สามารค้าขาย หรือทำธุรกิจใดๆ ได้ตลอดช่วงเวลานานถึง 3 ปี
คิง เพาเวอร์ ซึ่งเป็นผู้รับสัมปทานเช่าพื้นที่เพื่อทำธุรกิจร้านค้าปลอดภาษี หรือดิวตี้ฟรี และบริหารพื้นที่เชิงพาณิชย์ ประสบปัญหาสภาพคล่อง ก็เนื่องมาจากคู่ค้าหลายรายมีผลการดำเนินงาน รวมทั้งรายได้ไม่เพียงพอจะจ่ายผลตอบแทนสัมปทาน และการประเมินตัวเลขนักท่องเที่ยวที่คาดว่าจะกลับมาราว 66 ล้านคน ก็กลับมาเพียง 50 - 54 ล้านคนเท่านั้น
...
ขณะที่ผลตอบแทนที่ คิง เพาเวอร์ จ่ายให้แก่ AOT ยังคงสูงถึงปีละ 10,000 ล้านบาทเศษ จากที่จ่ายปกติให้ปีละ 15,000 ล้านบาท
“ผมรายงานที่ประชุมเพียงเท่านี้ แต่พวกผู้จัดการกองทุนกลับออกไปให้ข่าวว่า คิง เพาเวอร์ ขาดสภาพคล่องหนักถึงขั้นจ่ายค่าตอบแทนให้ไม่ได้ ...เอาจริงๆ ผมคิดว่า AOT เป็นสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ซึ่งผู้ถือหุ้นคงเห็นว่าเป็นที่พึ่งของผู้คนจำนวนมาก จึงอาจทำให้ตกใจได้ อีกอย่างก็คือ เราเป็นรัฐวิสาหกิจของรัฐ...ความคาดหวังจึงสูง ผู้คนจำนวนไม่น้อยยังคิดกันไปด้วยว่า คิง เพาเวอร์ น่าจะมีเงินเป็นแสนล้านบาท ทำไมจึงขาดสภาพคล่อง ตรงนี้ ผมเข้าใจนะ”
ตัวอย่าง เช่น AOT ยอมปรับลดอัตราดอกเบี้ยให้จาก 18% เหลือ 9% จริงๆ มันก็เป็นเรื่องที่สมควรช่วยเขา เพราะ 18% สูงเกินไป ส่วน 9% ก็สูงกว่าที่แบงก์พาณิชย์คิดดอกเบี้ยกับลูกหนี้ด้วย หลายคนอาจไม่เข้าใจ และกลัว AOT จะเสียหาย จริงๆ คือ ถ้าเขาอยู่ไม่ได้ เราก็อยู่ไม่ได้เหมือนกัน
สำหรับพวกที่คิดไปไกล หรือกรุณาช่วยคิดว่า ควรจะเปลี่ยนสัญญาสัมปทาน หรือไม่ก็เปิดประมูลใหม่ ดร.กีรติ ตอกฝาโลงแล้วว่า ผลตอบแทนที่ได้จาก คิง เพาเวอร์ แต่ละเดือนมีมากถึง 1,000 กว่าล้านบาท
ยังมีผลประโยชน์ซึ่งเป็นค่าตอบแทนอีก 15,000 ล้านบาทต่อปี สูงกว่ารายที่สองที่เสนอให้เพียง 8,000 ล้านบาทมาก
“ผมจึงไม่คิดว่า เราจะบอกเลิกสัญญากับ คิง เพาเวอร์ หรือ เปิดประมูลใหม่ทำไม โดยเฉพาะเมื่อสัญญาที่ทำกับ คิง เพาเวอร์ จะหมดในปี 6 ปี ข้างหน้า หรือในปี 73 และ เงินการันตีผลประโยชน์ในมือก็มีมากถึง 12,000 ล้านบาท”
กลับมาที่ AOT หรือ ทอท.ซึ่งดูแลกิจการของท่าอากาศยานสากลนานาชาติอยู่ 6 แห่งทั่วประเทศ โดยเฉพาะที่สนามบินสุวรรณภูมิ ดร.กีรติ เปิดเผยว่า ในช่วงเวลาจากนี้ไป 5 - 6 ปี สนามบินสุวรรณภูมิ จะต้องได้รับการอัพเกรดโดยการขยายพื้นที่รองรับผู้โดยสารออกไปอีกมากทีเดียว ภายใต้วงเงินลงทุน 160,000 ล้านบาท หลังจากที่ไม่ได้ขยายพื้นที่รองรับผู้โดยสารมาเป็นเวลานานถึง 18 ปี จนแน่นขนัดไปหมด
“เราจะขยายตัวอาคารที่พักผู้โดยสารทั้งขาเข้า-ขาออกทางด้านทิศใต้ออกไปอีกราว 70,000 ตร.เมตร เพื่อรองรับผู้โดยสารให้ได้ 70 ล้านคน และขยายอาคาร SAT-1 ออกไปจนสุดทางวิ่งด้วย
สร้างรันเวย์แห่งที่ 4 และอาคาร SAT - 2 ออกไปอีกทางด้านทิศใต้ เพื่อขยายศักยภาพ และขีดความสามารถของสนามบินสุวรรณภูมิให้เป็นศูนย์กลางทางการบินของภูมิภาคนี้(HUB)อย่างเต็มประสิทธิภาพ
ในเวลาเดียวกันก็จะขยายพื้นที่อาคารรองรับผู้โดยสารทั้งทิศตะวันออก และตะวันตกในเวลาไล่เลี่ยกันด้วย เพื่อรองรับเครื่องบินจากสายการบินต่างๆ และนักท่องเที่ยวที่จะตามเข้ามา เนื่องจากธุรกิจการบินกำลังกลับมากำเนิดอย่างเต็มรูปแบบอีกครั้ง
โดยการขยายสนามบินที่จะมีขึ้น เป็นไปตามแผนแม่บทเดิม และในราวปี 74 - 75 สนามบินสุวรรณภูมิ จะสามารถรองรับ หรือเปิดรับผู้โดยสารได้มากถึง 150 ล้านคน”
ทันทีที่เราประกาศว่า จะสร้างอาคารรองรับสายการบิน และผู้โดยสารใหม่ สิงคโปร์ก็ออกประกาศเลยว่า เขาจะสร้างอาคารผู้โดยสารแห่งที่ 5 โดยเร็ว เป็นการแข่งขันกับประเทศไทยโดยตรง ดร.กีรติ บอก
“อย่างที่ อดีตนายกฯเศรษฐา ทวีสิน บอกล่ะครับว่าประเทศไทยเราไม่ได้มีโบราณสถาน หรือสิ่งก่อสร้างเก่าแก่ที่ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวมาเที่ยวกันมากพอ จึงจำเป็นต้องสร้างสิ่งที่เรียกว่า man made ขึ้นมา เช่น เอ็นเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์ และคาสิโน ถ้าไม่มีสิ่งเหล่านี้ ก็ไม่มีส่ิงใดดึงดูดนักท่องเที่ยวอีก”
ธุรกิจท่องเที่ยว และการบิน ดูเหมือนจะฆ่าไม่ตายเสียแล้ว