“ไอซ์ รักชนก” ชำแหละงบทำฟันประกันสังคม 900 บาท แนะบอร์ดแพทย์ ปลดล็อกให้ผู้ประกันตนได้รับสิทธิไม่ด้อยไปกว่าบัตรทอง ทิ้งทวนให้คนสรรเสริญ ควรยกร่างแก้ พ.ร.บ.ประกันสังคม
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า น.ส.รักชนก ศรีนอก สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) กทม. พรรคประชาชน เปิดเผยต่อเนื่องผ่านเฟซบุ๊กถึงเรื่องประกันสังคม โดยระบุถึงงบประมาณทำฟัน 900 บาทต่อปีของผู้ประกันตน ว่า เรื่องเล็กๆ ที่ลึกๆ สะท้อนให้เห็นปัญหาเชิงโครงสร้างของประกันสังคม หนึ่งในเรื่องที่ติดใจผู้ประกันตนมากที่สุดเรื่องหนึ่งคือ ทำฟันได้แค่ 900 บาท หลายคนคงรู้สึกว่าไม่แฟร์แต่ก็ต้องทนเพราะทำอะไรไม่ได้ ไม่รู้ว่าใครเป็นคนเคาะ ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรถึงจะได้สิทธิเพิ่ม
น.ส.รักชนก แจกแจงว่า มาตรา 54 วรรค 1 พระราชบัญญัติประกันสังคม เขียนว่า “ให้ผู้ประกันตนมีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย รวมทั้งการส่งเสริมสุขภาพและการป้องกันโรค” ถ้าแปลตรงตัวตาม พ.ร.บ.นี้ หมายถึงให้รักษาอาการเจ็บป่วย แล้วโรคในช่องปากไม่นับเป็นความเจ็บป่วยหรือ ถ้าตอบตามหลักการแล้วต้องนับรวมด้วยถูกหรือไม่
ทั้งนี้ ถ้าเทียบสิทธิของกองทุนประกันสังคม กับกองทุนของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) หรือ บัตรทอง สปสช. ให้สิทธิในการรักษาช่องปากไว้เยอะกว่ามาก โดย สปสช. จะมีรายการระบุชัดเจน และหลังบ้านมีบัญชีราคากลางในแต่ละรายการ ทำให้การคิดเงินมีหลังพิง แต่ประกันสังคมที่ผ่านมาไม่มีระบุรายการ ไม่มีราคากลาง บอกแค่ทำอะไรกับปากก็จ่ายให้ 900 บาท ซึ่งตามความเป็นจริงแล้ว 900 บาท ควรเป็นค่าเสริมสร้างปกป้องดูแลเพื่อบรรเทาโรค แต่หากเป็นความเจ็บป่วยที่เกี่ยวกับฟันหรือภายในช่องปาก ควรจะรักษาและเบิกได้ที่โรงพยาบาลที่ลงทะเบียนสิทธิไว้ แต่ในความเป็นจริงกลับไม่เป็นแบบนั้น
...
ขณะที่เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2567 คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) เคยชี้ประเด็นว่า ประกันสังคมจำกัดวงเงินค่าบริการทันตกรรมเช่นนี้ส่งผลให้ผู้ประกันตนเข้าไม่ถึงสิทธิประโยชน์ขั้นพื้นฐาน เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน โดยมีการเสนอให้เร่งแก้ไข อย่างน้อยต้องเทียบเท่ากับบัตรทอง แต่บอร์ดแพทย์ก็เฉยมาตลอด ซึ่งคนที่เคาะว่าผู้ประกันตนสามารถรับสิทธิรักษาอะไรได้บ้าง รักษาได้เท่าไหร่คือบอร์ดแพทย์ โดยทั้งหมดมาจากการแต่งตั้งของรัฐมนตรี 100% ซึ่งบอร์ดแพทย์ชุดปัจจุบันคือคนเคาะสิทธิ ชุดนี้ถูกแต่งตั้งในสมัย นายสุชาติ ชมกลิ่น เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน และกำลังจะหมดวาระลงสิ้นเดือนนี้
พร้อมตั้งข้อสังเกต 3 ข้อ ว่าทำไมที่ผ่านมาถึงไม่อนุมัติสิทธิให้รักษาฟันได้มากกว่านี้
1. ถ้าเพิ่มสิทธิรักษาฟันให้มากกว่า 900 บาท ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น รวมแล้วจะอยู่ประมาณหลักพันล้านบาท
2. เงินจำนวนนี้ไม่ใช่กองทุนประกันสังคมที่จะต้องควักจ่ายเองทั้งหมด เพราะค่ารักษาพยาบาลที่กองทุนจ่ายให้โรงพยาบาลมันเหมาเป็นรายหัวอยู่แล้ว นั่นแปลว่ากองทุนอาจจะไม่ต้องจ่ายเพิ่มเลย แต่เงินจำนวนนี้คือกำไรที่ลดลงของโรงพยาบาลที่รับสิทธิประกันสังคมถัวๆ กันไป
3. จากงานวิจัยของสำนักงานประกันสังคม ชี้ให้เห็นว่าหากปรับเพิ่มเพดานเงินค่ารักษา แต่ไม่กำหนดเพดานราคาทำฟันระหว่างคลินิกคู่สัญญา จะทำให้คลินิกต่างๆ ปรับขึ้นราคาไปตามเพดานสิทธิ พูดง่ายๆ คือให้สิทธิจาก 900 บาท เป็น 1,200 บาท คลินิกก็ขึ้นราคาไปเป็น 1,200 บาท สุดท้ายก็ไม่ได้ไปช่วยทำให้ผู้ประกันตนได้รับบริการเพิ่มขึ้น แต่คลินิกจะถือโอกาสขึ้นราคาตาม
ดังนั้น ประกันสังคมต้องมีจัดทำบัญชีต้นทุนค่ารักษา และกำหนดเพดานค่ารักษาโรคในช่องปาก ไม่ให้เอกชนขึ้นราคาตามการขึ้นเงินทำฟัน และเป็นที่รู้กันดีในโรงพยาบาลเอกชนว่าสามารถทำกำไรจากประกันสังคมได้มากกว่า สปสช. นี่คือความจริงที่ไม่เคยมีใครอธิบายให้ผู้ประกันตนฟัง
พร้อมกันนี้ น.ส.รักชนก ยังเสนอวิธีแก้ปัญหา ทำได้หลักๆ คือ แก้แบบแก้เล็ก กับการแก้แบบแก้ใหญ่
การแก้เล็ก บอร์ดแพทย์ชุดปัจจุบันที่จะหมดวาระสิ้นเดือนนี้ สามารถทิ้งทวนโดยให้ผู้ประกันตนสรรเสริญท่านไปตลอดกาลด้วยการออกประกาศฉบับหนึ่งเพื่อปลดล็อกการรักษาโรคในช่องปาก โดยต้องจัดทำบัญชีต้นทุนค่ารักษาและกำหนดเพดานค่ารักษาโรคในช่องปากไม่ให้เอกชนขึ้นราคาตามการขึ้นเงินทำฟัน ถ้ากลัวว่างบประมาณจะบาน เอกชนกำไรน้อยลงแล้วจะกระทบ ไม่ต้องให้ทำทุกอย่างก็ได้ แต่ต้องมีรายการเพิ่มเติมในวงเงินที่เหมาะสม หรืออาจใช้แนวทางของ สปสช. ที่มีการระบุรายการสิทธิการรักษา และมีราคากลางเป็นเพดานเบิกสำหรับบางโรค เพื่อไม่ให้โรงพยาบาลมาโขกราคาเอากับกองทุนมากจนเกินไป รวมถึงพิจารณาเรื่องการรับยาใกล้บ้านและสิทธิรักษาอื่นๆ ที่ผู้ประกันตนได้ด้อยกว่าสิทธิบัตรทอง
การแก้ใหญ่ คือการยกร่างแก้ พ.ร.บ.ประกันสังคม เพื่อยกระดับสิทธิการรักษาของประกันสังคมให้ไม่ต่ำไปกว่าสิทธิบัตรทอง ให้ประชาชนทุกคนเท่าเทียมกัน แล้วกองทุนประกันสังคม โฟกัสแค่สิทธิที่เหลือกับเรื่องการทำกำไรในการลงทุนให้ได้เยอะๆ เพื่อให้กองทุนยั่งยืนต่อไป.