“รังสิมันต์ โรม” แฉ “ไบโอเมตริกซ์” ไทย ใบอนุญาตหมดถึง 3 ปี ต้องใช้วิธีโบราณถ่ายรูปและพิมพ์ลายนิ้วมือแทน จวก “ผบ.ตร.-ผบ.ตม.” ปล่อยให้เกิดได้อย่างไร บี้ “ภูมิธรรม-นายกฯอิ๊ง” เร่งทบทวนปิดรูรั่ว ชี้ ปิดท่าข้าม รู้เรื่อง มี.ค. ยัน BGF โยงยาเสพติดเข้าไทย
วันที่ 20 ก.พ. 2568 ที่รัฐสภา นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ประธานคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุม กมธ. ถึงการใช้ระบบระบุอัตลักษณ์บุคคลเพื่อเก็บข้อมูลผู้ที่เคยเกี่ยวข้องกับคอลเซ็นเตอร์ และความชัดเจนในการดำเนินคดีกับ พ.อ.หม่อง ชิตตู่ ผู้นำ BGF ว่า ความคืบหน้าการจัดการแก๊งคอลเซ็นเตอร์-สแกมเมอร์และอาชญากรข้ามชาติ มีหลายส่วนพัวพันเกี่ยวข้อง จึงพิจารณาเป็นสองวาระ คือ 1.เป็นวาระที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลอัตลักษณ์และการจัดการกับกลุ่มอาชญากรที่เกี่ยวข้องกับการคอลเซ็นเตอร์และอาจจะรวมไปถึงยาเสพติดด้วย ระบบอัตลักษณ์บุคคลเป็นเรื่องใหม่ที่สังคมไม่ได้รับรู้มาก่อน ที่ผ่านมีการเก็บข้อมูลแบบ “ไบโอเมทริกซ์” เก็บข้อมูลอัตลักษณ์ต่างๆ ที่ละเอียดและรอบคอบ สามารถตรวจจับได้ทั้งจาก หน้าตา ลายนิ้วมือ เพื่อช่วยในการปราบปรามอาชญากรต่างๆ แต่ กมธ.รับทราบว่าตั้งแต่ปี 2567-2569 รวม 3 ปีเต็ม เราคงจะไม่มีการใช้ระบบไบโอเมทริกซ์อีกแล้ว เพราะมีการปล่อยให้ใบอนุญาต (License) หมดหมายความว่า โอกาสที่จะมีความผิดพลาด และมีนักท่องเที่ยวสีเทาๆ เข้าประเทศไทยและใช้ประเทศไทยเป็นแค่ทางผ่านหรือมาก่ออาชญากรรมได้ง่ายขึ้น แม้ว่าวันนี้สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) จะใช้วิธีถ่ายรูปและพิมพ์ลายนิ้วมือ แต่ข้อมูลเหล่านี้ ไม่เพียงพอ ซึ่งถ้าเพียงพอก็คงไม่ต้องมีการไปซื้อไบโอเมทริกซ์จากประเทศอื่นๆ ดังนั้นจึงเป็นช่องว่างสำคัญที่จะทำให้ประเทศไทยตกอยู่ภายใต้อันตรายของปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติที่เพิ่มสูงขึ้น โดยที่ ตม. ก็ไม่มีความรับผิดชอบที่จะป้องกันเรื่องนี้ไว้แต่เนิ่นๆ ทั้งที่ ตม. ควรจะรับทราบแต่เนิ่นๆ เมื่อคาดว่าเหตุการณ์แบบนี้จะเกิดขึ้น ซึ่งต้องรู้ว่าใบอนุญาตใช้ระบบไบโอเมทริกซ์ของท่านจะหมด แต่ก็ปล่อยให้เหตุการณ์นี้เกิดขึ้น กลายเป็นช่วงเวลาสูญญากาศ จึงต้องเปลี่ยนไปใช้วิธีโบราณคือการถ่ายรูปและพิมพ์ลายนิ้วมือ แทนที่จะใช้วิธีการแบบไบโอเมทริกซ์ในการที่จัดเก็บข้อมูลและทำให้คนไทยปลอดภัยมากขึ้น
...
“กรณีนี้รวมไปถึงการที่เราไม่สามารถเก็บไบโอเมทริกซ์กับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ต่างๆ ได้ ทำให้ต้องไปใช้วิธีขึ้นแบล็กลิสต์ต่างๆ แต่ก็ยังไม่แน่ใจว่ามีประสิทธิภาพมากน้อยแค่ไหน ผมขอตั้งคำถามไปถึงผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ว่า ท่านปล่อยให้เหตุการณ์นี้ เกิดขึ้นได้อย่างไร หากเกิดการก่ออาชญากรรมขึ้น โดยที่ระบบของเรา ไม่สามารถป้องกันได้ ท่านจะรับผิดชอบอย่างไร และต้องถามผู้บัญชาการตำรวจ ตม.เช่นกันว่า ท่านปล่อยให้คนไทยตกอยู่ในอันตรายเช่นนี้ได้อย่างไร ส่วนจะมีการขึ้นแบล็กลิสต์จริงหรือไม่นั้น เนื่องจากผู้เข้าชี้แจงไม่มีอำนาจหน้าที่ตรงนี้ เมื่อผู้เข้าชี้แจงไม่สามารถให้ข้อมูล กมธ. ได้ ผมคิดว่า เราไม่ควรมี ผบ.ตร. และรอง ผบ.ตร. จำนวนมากขนาดนี้ ถือเป็นความผิดพลาดที่ไม่น่าให้อภัย และไม่รู้ว่าใครจะเป็นคนรับผิดชอบ” นายรังสิมันต์ กล่าว
ประธาน กมธ.มั่นคงฯ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ ในที่ประชุม ยังมีการสอบถามกรณีการส่งตัวคนต่างชาติกลับประเทศต้นทางว่า เหตุใดถึงมีเพียงบันทึกภาพและพิมพ์ลายนิ้วมือ ไม่ได้มีการคัดแยกเหยื่อและอาชญากร ซึ่งทำให้เราไม่มีข้อมูลว่า ใครคืออาชญากรตัวใหญ่ หากทางการจีนไม่ส่งข้อมูลให้เรา ยืนยันว่า การกระทำเช่นนี้ ไม่เป็นผลดีต่อประเทศ เพราะอาจจะมีการกลับมาก่ออาชญากรรมในประเทศไทยซ้ำได้อีก ขณะที่ประเทศอื่น เขามีการแยกอัตลักษณ์บุคคล อาจทำให้ประเทศอื่นมองว่า เราปฏิบัติไม่เท่าเทียมกัน และจะถูกมองว่าไทยอยู่ภายใต้อิทธิพลของชาติใดหรือไม่ ดังนั้น รัฐบาลต้องทบทวน หากต่อไปเกิดกรณีเช่นนี้อีก ตนขอเรียกร้องถึงนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม และน.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี
นายรังสิมันต์ กล่าวต่อว่า ส่วนของกรณีท่าข้ามฟากไทย-เมียนมา ตนยังยืนยันว่า เกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์จริง และสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ก็จะเป็นผู้สรุปว่า ใครบ้างที่มีอำนาจในการปิดท่าข้ามฟากเหล่านี้ ซึ่งภายในเดือนมีนาคมนี้ จะมีการสรุปว่า ต้องปิดท่าข้ามใดบ้าง สำหรับเหตุความล่าช้าในการออกหมายจับ พ.อ.หม่อง ชิต ตู นั้น กมธ.พบว่า ตัวการหลักคืออัยการ เพราะเป็นคดีความผิดนอกราชอาณาจักร ทำให้สำนักงานอัยการสูงสุดต้องเข้ามาดู ขณะที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) พยายามดำเนินการอยู่ แต่การส่งมอบข้อมูลของสองหน่วยงานนี้ไม่ประสานกัน ทั้งที่มีผลกระทบคือ เราไม่สามารถแช่แข็งบัญชีและทรัพย์สินของอาชญากรข้ามชาติได้ ทำให้คนจำนวนมากต้องรอคอยการเยียวยา โดยที่ยังไม่ได้รับเงินคืน ซ้ำยังไม่มีการขยายผลไปถึง “เต่ง วิน” ซึ่งเป็นคนสำคัญใน BGF และเกี่ยวข้องกับบริษัท SMTY ซึ่งเป็นบริษัทที่ทำสัญญาซื้อไฟจากการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค(กฟภ.) และยังมีตัวละครสำคัญใหม่ ซึ่งจะต้องขยายผลต่อไป ว่าคนกองกำลัง BGF อาจเกี่ยวข้องกับยาเสพติดจำนวนมาก ทั้งการผลิต, ลักลอบขนย้ายสารตั้งต้น และส่งออกยาเสพติดผ่านไทยไปยังประเทศอื่น เป็นสิ่งยืนยันได้ว่า แหล่งผลิตยาเสพติดใหม่เกิดขึ้นแล้วที่รัฐกะเหรี่ยง ประเทศเมียนมา ไม่ได้จำกัดแค่ทางฝั่งว้า