เกือบปีที่ เศรษฐา ทวีสิน ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ก่อนจะถูกศาลรัฐธรรมนูญตัดสินถอดถอนออกจากตำแหน่ง เขายอมรับว่าคำวินิจฉัยศาลที่ว่า "เป็นนายกฯ ที่ไม่มีจริยธรรม" เหมือนกุญแจมือที่มองไม่เห็นค้างคาอยู่ ราวกับมีมลทินติดตัวไปชั่วชีวิต แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น คำถามมีอยู่ว่า กว่า 6 เดือนที่เขากลับไปเป็นพลเรือนธรรมดาคนหนึ่ง เขาตกผลึกอะไร อ่านโลก อ่านไทยทะลุไปถึงไหน บทสัมภาษณ์นี้เขาเปิดใจกับไทยรัฐออนไลน์ถึงความฝันและอนาคตของประเทศไทยที่ต้องมีเป็นรูปธรรม ทั้งเรื่องเศรษฐกิจ ภาษี เนื้อวัว ชีส สงครามในพม่า ฝุ่นจากกัมพูชา กาสิโน และแลนด์บริดจ์ ส่วนผู้อ่าน อ่านจบแล้วตกผลึกอะไร ลองโต้แย้ง วิจารณ์ แลกเปลี่ยนกัน! มองย้อนกลับไปหลังพ้นตำแหน่งนายกรัฐมนตรี คุณได้ตกผลึกอะไรบ้าง ผมตกผลึกตั้งแต่ก่อนเข้ามาทำงานการเมืองแล้วว่า การเข้าสู่เวทีการเมืองมันมีความเสี่ยง แต่ก็ได้พยายามทำงานอย่างเต็มที่เพื่อปิดช่องว่างทั้งหลาย ผมกำลังพูดถึงเรื่องที่ถูกถอดถอนด้วย ซึ่งช่วงนี้อยู่มา 1 ปี ผมทำเต็มที่อยู่แล้ว ผมเชื่อว่าเป็นที่ประจักษ์ แต่ว่าจะถูกใจใครหรือไม่ถูกใจใครนั้น ผมว่าแต่ละคนก็มีความเห็นที่แตกต่างกันไป ผมยอมรับว่า หลายๆ อย่างก็ยังไม่ได้ทำเท่าที่อยากจะทำจริงๆ ไม่ได้หยั่งรู้ถึงกลไกของระบบราชการหรือภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ในการผลักดันบางนโยบายให้สำเร็จได้ ตรงนี้ผมว่าเหนือความคาดหมายแต่เรื่องที่โดนถอดถอน ผมคิดว่ามันเป็น ‘Part of the package’ เรารู้อยู่แล้วว่ามีองค์กรอิสระอยู่กี่องค์กร รู้อยู่แล้วว่าต้องทำอะไรบ้าง เพียงแต่บางอย่างมันเป็นเรื่องของการตีความ ซึ่งผมก็ยังยืนยันว่าความตั้งใจของผมเป็นความบริสุทธิ์ใจ คำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญโดยเฉพาะคำว่า 'ไม่สุจริต' เป็นเหมือนกุญแจมือที่ค้างอยู่ไหมแน่นอนครับ แน่นอนเพราะว่าวันนี้จะไปทำงานที่ไหนก็ทำไม่ได้ เพราะคำว่าไม่มีจริยธรรม ไร้จริยธรรมเนี่ย ผมว่ามันแรง 'คำว่า ‘ไร้’ แปลว่าไม่มีเลย สมมุติว่าวันหนึ่งลูกผมไปเป็นหุ้นใหญ่ของบริษัทหนึ่งในตลาดหลักทรัพย์ แล้วเขาอยากให้ผมไปเป็นกรรมการบริหาร มันก็เป็นไม่ได้ เพราะผู้ถือหุ้นรายย่อยเขาก็มีสิทธิ์ยกมือโต้ขึ้นได้ว่า “คุณไปเอาบุคคลที่มีมลทินขนาดนี้มาได้ยังไง”ผมไม่ได้เดือดร้อนขนาดนั้นในแง่ของรายได้ ต้องยอมรับว่ามีพอแล้ว แต่ผมก็อยากไปช่วยไม่ว่าจะภาคเอกชนหรือภาครัฐในหลายๆ ส่วน แต่พอกลายเป็นแบบนี้ ถ้าใครมาชวนทำอะไร เราก็ต้องบอกเขาว่า เราไม่สามารถไปทำได้ คนชวนก็คงสะอึกเหมือนกันถ้าเอาผมไปทำงานแล้วถูกผู้ถือหุ้นรายย่อยหรือถูกบางหน่วยงานติติงมา ในสายตาเพื่อนนักธุรกิจของคุณ เขามองคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญอย่างไร ตั้งคำถามอะไรบ้างไหม?ผมพูดเสมอว่า ‘คำพูดไม่มีต้นทุน’ คุณจะพูดอะไรก็พูดได้ แน่นอนว่าถ้าเป็นเพื่อนสนิทผม เขาไม่เห็นด้วยอยู่แล้วล่ะ ส่วนนักธุรกิจที่เราเคยทำงานร่วมกัน เขาก็พูดออกมาในทำนองเดียวกันว่า ‘เสียดาย’ แต่ผมไม่ได้ให้น้ำหนักตรงนั้นมากมาย เพราะว่านั่นอาจเป็นการพูดตามมารยาทก็ได้ ผมคิดว่าจะให้ดีคุณต้องไปถามเขามากกว่า ผมไม่อยากต้องเป็นคนให้คำอธิบายว่าพวกเขาพูดปกป้องผมอย่างไร สิ่งที่เกิดขึ้น คุณรู้สึกว่าเป็นเรื่องส่วนตัวหรือเป็นเรื่องเชิงระบบ ตอนที่เราเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี เราทราบอยู่แล้วว่ามันมีเรื่องพวกนี้อยู่ เขามีสิทธิ์ที่จะถอดถอนเรา แล้วพื้นฐานผมเป็นนักกีฬา ไม่ว่าผมจะเล่นกีฬาอะไรก็ต้องยอมรับในกติกา เราอาจเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับกติกาก็ตาม แต่เรายอมรับที่จะเล่นเกมนี้แล้ว ไม่ใช่ว่าพอเราแพ้ก็ไปบอกว่ากติกามันไม่ถูกต้อง แบบนั้นก็ไม่ใช่ เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นเราก็ต้องไปแก้ที่กติกา ซึ่งมันก็มีกลไกในการแก้ไขกติกาอยู่ ก็ต้องว่ากันไปตามกลไกนั้น สำหรับเรื่องถูกถอดถอน ผมยอมรับ แต่ถามว่าอยากให้มีการแก้ไขไหม ผมอยากให้มีการแก้ไข แต่ทุกอย่างต้องเป็นไปตามกติกาที่รัฐธรรมนูญเขียนไว้ แปลว่าลึกๆ คุณก็รู้สึกว่า กติกาแฟร์กว่านี้ได้ ถูกต้องครับ คุณมักบอกว่าปรัชญาของฟุตบอลมีแค่แพ้ชนะเสมอ ปัจจุบันคุณอยู่ตรงไหนในเกมนี้ชัดเจนว่าผมแพ้แน่นอน เพราะผมทำอะไรต่อไม่ได้ถ้าหากกติกาเป็นอย่างนี้ ส่วนความหวังของประเทศในฐานะพรรคเพื่อไทย ผมเชื่อว่าเขาไม่ได้แพ้ เขายังไม่ได้แพ้ ผมเชื่อว่าหลายๆ นโยบายเป็นประโยชน์กับคนไทยจริงๆ ขึ้นอยู่กับการที่เรามา ‘ฉายหนัง’ ไม่ได้ฉายภาพมากกว่า วันก่อนผมได้ไปพูดที่วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) ผมบอกว่า พวกเรามัวแต่ง่วนในการทำงาน แต่บางทีเราไม่ได้สื่อสารให้ครบทั้ง 360 องศา เช่นเรื่องโครงสร้างภาษี เราก็พูดแต่เรื่อง VAT อย่างเดียว ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยก็จะหยิบยกบางเรื่องมาโจมตี ซึ่งก็เป็นหน้าที่ของฝ่ายปฏิบัติ ที่ต้องพยายามอธิบายให้ครบ 360 องศา คุณถูกเชิญไปบรรยายที่ วปอ. ล่าสุดเมื่อเดือนมกราคม 2568 คุณพูดอะไรให้คนที่มาฟัง เรื่องที่ผมไปพูดที่ วปอ. เป็นเรื่องที่มาในเวลาที่เหมาะสมพอดี เพราะช่วง 2-3 อาทิตย์หลังมีคนเรียกร้องให้ยกเลิกหลักสูตรเหล่านี้ รวมถึงหลักสูตรผู้บริหารกระบวนการยุติธรรมระดับสูง (บ.ย.ส.) ซึ่งก็มีประเด็นว่าเอาผู้พิพากษามาพบปะสังสรรค์กับนักธุรกิจ ผมมองว่าเวลาเจอปัญหา เราอย่าไปยกเลิกมันอย่างเดียวได้ไหม ถามว่าในที่สุดอาจต้องยกเลิกหรือเปล่า ก็เป็นไปได้ แต่อยู่ดีๆ เราไฮไลท์ปัญหาขึ้นมาแล้วบอกว่า “ยกเลิกดีกว่า” ทำไมเราไม่ลองเปลี่ยนแปลงหลักการคิดของนักเรียนที่เข้าไปเรียนล่ะ เพราะการที่เรามารวมตัวกันในภาคส่วนที่มีตำแหน่งใหญ่ๆ มันเป็นทั้งเรื่องบวกและลบ ถ้าทำให้ดีได้ มันก็เป็นพลังบวกมหาศาล ซึ่งจะช่วยขับเคลื่อนประเทศได้หลายๆ มิติ แต่ในทางกลับกันหากคุณทำไม่ดี มันก็สามารถเป็นไปได้หลายอย่าง ผมพูดที่ วปอ. หลายเรื่อง เช่นเรื่องการใช้โซเชียลมีเดีย เรื่องการโชว์ออฟ การที่ทำตัวเหนือท่าน พวกคุณคิดว่าสังคมเรายอมรับได้หรอว่า ที่อยู่ดีๆ คนแก่ๆ อายุ 60 กว่าอ้วน รูปร่างไม่ดี ลงไปเตะฟุตบอลที่สนามสุขพัชราสัย คนที่ลงไปเตะอาจไม่ได้คิดอะไรเลยนะ เพราะโอ้โห นี่เป็นสนามศักดิ์สิทธิ์มาก ตอนเด็กๆ ก็อยากลงไปเตะแต่มัวแต่เรียนหนังสือ ตอนนี้ก็อยากเข้าไปเตะ ทำไมต้องมาพูดกันเยอะขนาดนี้ผมก็ถามว่า “ทำไมไปเตะได้” เขาก็บอกว่าอธิบดีกรมพละศึกษาเป็นเพื่อน วปอ. เขาก็จัดไปเตะได้ ผมก็บอกว่า “อธิบดีกรมพละศึกษาเป็นเจ้าของหรือเปล่า?” คุณไม่เคยเห็นเด็กตัวเล็กๆ ที่มาจากกาฬสินธุ์ มาเดินอยู่รอบสนามสุขพัชราสัย มาเดินซื้อรองเท้า พ่อจูงมือลูกมาดูสนามที่จัดเอเชียนเกม เห็นประวัติศาสตร์ที่สลักไว้บนผนังสนาม เด็กนักเรียนมองขึ้นไปก็หึกเหิมได้ วันหนึ่งฉันจะมา วันหนึ่งฉันจะต้องได้มาเตะที่นี่แต่พอเด็กกลับมาบ้าน เปิดทรูวิชั่นดู เห็นการถ่ายทอดสด วปอ. เตะบอลเล่นกับ ปปร. (หลักสูตรการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยสำหรับนักบริหารระดับสูง) คือมันทำลายความหวังและแรงบันดาลใจ ในมิตินี้แหละที่ผมอยากจะขอพูด มันไม่ใ่ชเรื่องนี้เรื่องเดียวหรอก ยังมีอีกหลายๆ เรื่องเหมือนกัน อีกเรื่องที่ผมพูดคือการพา วปอ.ไปดูการแสดงอาวุธ การทิ้งระเบิด รถถัง ยิงปืน ที่ลพบุรี มันสนุกสนานดีแหละ ทุกคนก็ชอบ แต่ถามว่ามันลดช่องว่างความเข้าใจผิดระหว่างทหารกับประชาชนได้เยอะไหม ผมว่าไม่เยอะนะ ใครๆ ก็อยากไปดูยิงปืน มันตื่นตาตื่นใจ แต่งบประมาณเท่าไหร่ครับ...รัฐบาลสมัยที่ผมเป็นนายกฯ เรามีหนองวัวซอโมเดลที่กันพื้นที่ทหารไปให้ประชาชนทำมาหากิน ผมให้ทหารทำระบบชลประทานด้วยจะได้ปลูกข้าว ปลูกนา ปลูกไร่ ปลูกพืชสวนได้ เพราะทหารมีพื้นที่เยอะ แล้วก็ทยอยตัดพื้นที่มาให้ประชาชนทำกิน ทำไมคุณไม่พานักศึกษา วปอ. ไปดูพื้นที่เหล่านี้บ้างเงินก็ไม่ต้องเสีย แถมไหนๆ ไปแล้ว พาแวะไปที่ค่ายมณฑลทหารบกที่ 38 จังหวัดน่าน ที่เขาทำงานเรื่องยาเสพติดด้วย ทุกคนบ่นว่ายาบ้าเม็ดหนึ่งไม่ถึง 20 บาท ทุกคนติดยาหมด การบำบัดก็คือ พ่อแม่ก็เอาลูกไปบำบัดที่สาธารณสุขจังหวัด เสร็จแล้วก็กลับไปอยู่ที่บ้าน แต่นั่นไม่ได้แก้ปัญหาในเชิงระยะยาว เพราะเมื่อเลิกยาได้ แล้วเจอเรื่องกลุ้มใจ ไม่มีอาชีพ คุณก็กลับไปเสพใหม่ ปัญหายาเสพติดที่ต่างจังหวัดเทียบเท่ากับปัญหาเศรษฐกิจ แต่ในค่ายทหาร มทบ.38 เขาเสนอทางเลือกให้เอาคนติดยาเข้ามาอยู่ 3-8 อาทิตย์ได้ คนบางส่วนเข้าใจผิดคิดว่าเข้าไปฝึก จริงๆ คือไม่ได้ไปฝึกอะไรครับ แต่มีข้าวให้กิน มีหมอมาดูแล มีสอนให้ประกอบอาชีพ ไม่ว่าจะเป็นตัดผม ซ่อมเครื่องจักร โบกปูน ทาสี เพราะบางคนติดยาไม่มีอาชีพ อาหารก็อร่อย ทุกอย่างดีหมด ทำไมไม่พา วปอ. ไปดูอะไรแบบนี้บ้าง หากคุณเป็นเอกชน ก็จะสามารถไปพูดคุยได้ว่าทหารกับประชาชนมีช่องว่าที่ลดลง คุณฉายหนังอะไรให้นักเรียน วปอ. ดูอีกบ้าง? ที่ผมไปพูดที่ วปอ. หลักๆ พูดเรื่องที่ว่า ไม่อยากให้เหล่านักศึกษาชั้นสูงดูแค่ภาพ แต่ผมอยากให้ดูหนัง อย่างเรื่องโครงสร้างภาษี เมื่อประมาณก่อนปีใหม่ก็มีพูดกันเรื่องขึ้น VAT 15% ใช่ไหมครับ สูตรภาษี 15-15-15 แต่คนกลับไปโฟกัสที่ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) 15% เสียส่วนมาก ทั้งที่จริงๆ แล้ว เขาไม่ได้หมายความว่าจะขึ้นภาษีเป็น 15% แต่เขาอาจจะขึ้นจาก 7% เป็น 9% เป็น 11% เป็น 12% เป็น 15% ภายในระยะเวลา 3 -10 ปี ซึ่งอาจจะต้องมีโรดแมปไว้บ้าง เพราะว่า VAT คือภาษีที่สะท้อนกิจกรรมทางเศรษฐกิจอย่างแท้จริงส่วนอีก 2 ตัวที่พูดถึงคือ ภาษีนิติบุคคล ซึ่งสมัยก่อนเคยอยู่ที่ 25% พอมาสมัยท่านกิตติรัตน์ ณ ระนอง (อดีตรองนายกรัฐมนตรีไทย) ลดภาษีเหลือ 20% แล้วตอนนี้ก็อาจเสนอให้เหลือ 15% ส่วนภาษีรายได้ส่วนบุคคล Top Back ก็คือ 35% ตอนนี้จะเสนอให้เหลือ 15% กลายเป็นสูตรภาษี ‘15 15 15’ (หมายถึงภาษีมูลค่าเพิ่ม 15% ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 15% และภาษีนิติบุคคล 15%)ประชากรไทยสมัยก่อน เราพูดกันง่ายๆ ว่ามี 70 ล้านคน ซึ่งไม่ใช่แล้วนะครับ อย่าง 'แม่ลูกจันทร์' (คอลัมนิสต์สำนักข่าวไทยรัฐ) เขียนไว้เมื่อไม่นานนี้ว่า ประชากรไทยมี 66 ล้านคน อีก 50 ปีเหลือ 37 ล้านคน คำถามคือ แล้วคุณจะขายบ้านให้ใคร จะขายยาสีฟันให้ใคร การที่คนไม่มีลูกเริ่มเป็นปัญหาใหญ่ ซึ่งมันเกิดจากสองอย่างคือ หนึ่ง-คนไม่มีลูก สอง-ประชากรที่มีคุณภาพ ออกไปทำงานต่างประเทศ ถ้าคุณฉายหนังให้ได้ว่า ภาษี 15% จะทำให้เราแข่งขันกับสิงคโปร์หรือฮ่องกงได้ เด็กรุ่นใหม่ที่จบมหาวิทยาลัยมหิดล จบโรงเรียนดีๆ มีศักยภาพสูง แทนที่เขาจะไปตั้งสตาร์ทอัพที่สิงคโปร์ เขาก็อยากกลับมาตั้งสตาร์ทอัพที่เมืองไทย เพราะเมืองไทยมีโครงสร้างภาษีที่เหมาะสม นั่นคือ นิติบุคคล ก็ 15% ภาษีส่วนบุคคลก็ 15%ผมคิดว่าเรื่องที่เราควรต้องฉายหนังให้เห็นคือเรื่องสังคมสูงวัย การที่เด็กต้องแบกผู้ ใหญ่ จาก 1:2 กลายเป็น 1:3 และ 1:4 เพราะว่าเด็กเกิดน้อยลง คนอายุสูงวัยเพิ่มขึ้น ถ้าคุณจะฉายหนังเรื่อง ‘สังคมสูงวัย’ หนังเรื่องนี้จะทำให้เราเห็นอะไรบ้าง ผมพบว่าหมอคนไทยเก่งๆ อยู่ที่สหรัฐอเมริกากันเยอะแยะไปหมด พวกเขาจ่ายภาษีอยู่ 30-40% นะ และพวกเขาก็อยากกลับมาไทยถ้าจ่ายภาษีแค่ 15% คือที่สุดแล้วผมไม่อยากให้พูดแค่เรื่อง VAT 15% หรือภาษีนิติบุคคล 15% หรือภาษีส่วนบุคคล 15% แต่ทำไมเราไม่ฉายหนังเรื่องนี้ล่ะว่า สิ่งที่เกิดขึ้นจากโครงสร้างภาษีแบบนี้อาจจะทำให้เกิดการย้ายสำนักงานภูมิภาค (Regional Office) ของบริษัท J.P. Morgan จากสิงคโปร์มาอยู่ที่ไทยก็ได้ หรือย้ายจากฮ่องกงมาอยู่ที่นี่ก็ได้ อย่างที่ฮ่องกงและสิงคโปร์ มีสำนักงานภูมิภาค (Regional Office) ของบริษัทขนาดใหญ่เต็มไปหมดเลย หลักการของเรื่องนี้เลยคือ 'ภาษีส่วนบุคคล' หรือถ้าหากเราพูดถึงสิ่งที่ประเทศไทยมีแต่คนไม่ค่อยรู้ ก็อย่างเช่น International School ประเทศเรามีเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็น Shrewsbury, บางกอกพัฒนา, โรงเรียนนานาชาติ ISB ซึ่งเป็นโรงเรียนระดับ World Class ทั้งนั้น แถมเปอร์เซ็นต์ส่งเด็กไปเรียนต่อในมหาวิทยาลัยไอวีลีก (Ivy League) ก็เยอะเท่ากับโรงเรียนดีๆ หมด นอกจากนี้ ระบบสุขภาพ (Health Care System) ของไทยก็ดีมาก มีคนบินเข้ามารักษาในโรงพยาบาลของไทยเต็มไปหมด สมมติคุณเป็นชาวต่างชาติ คุณอยากย้ายประเทศ คุณจะดูอะไรบ้างล่ะ ... ภาษี การศึกษาของลูก โรงเรียนที่ลูกจะเรียน เวลาไม่สบายมีระบบสุขภาพรองรับไหม ถ้ามีทั้งหมดเขาก็อยากจะย้ายเข้ามาอยู่ และสามารถมีการจัดซื้อจัดจ้างงานได้ต่ออีก เมื่อเด็กๆ เริ่มเห็นว่าประเทศนี้มีอนาคต มีศักยภาพ ไม่มีอภิสิทธิ์ชนเยอะ เออ ... เรามีลูกกันดีกว่า ไม่มีใครเถียงหรอกครับว่ากระบวนการมีลูก ทุกคนก็ชอบ (ยิ้ม)ตอนที่ผมอยู่ในตำแหน่งนายกฯ ก็มีคนเสนอกันว่าจะให้เงินเป็นแรงจูงใจในการมีลูก เช่น มีลูก 3 คน จะให้เท่าไหร่ ... แต่ผมบอกว่านั่นมัน ข. เราไปแก้ ก. ก่อนดีกว่า นั่นคือให้เขามีความหวังก่อนดีกว่า อย่าเอาเงินมาล่อ เพราะต่อให้เอาเงินมาล้อแต่ประเทศไม่พร้อมในการให้เด็กเข้าสู่ระบบการศึกษา เข้าถึงแหล่งงานที่แฟร์ ไม่มีอากาศบริสุทธิ์ ผมว่าคุณเสนอเงินจูงใจแค่ไหนยังไงคนก็ยังไม่อยากมีลูก นี่แหละคือการฉายหนัง ไม่ใช่ฉายภาพ ไม่ใช่มาพูดแค่เรื่อง VAT อย่างเดียว แต่หากเราพูดถึงเรื่องเหล่านี้ทั้งหมด มันก็จะช่วยให้คนเข้าใจได้เยอะมากในเรื่องสังคมสูงวัยซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ แปลว่าหากจะแก้ไขเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ต้องมองให้เห็นตัวละครทั้งหมดในเรื่อง ไม่ใช่แค่ภาพด้านใดด้านหนึ่งเช่น เราอยากให้ต่างประเทศมาลงทุนที่ไทยใช่ไหม เราเดินทางไปต่างประเทศ ไปเอา Foreign Direct Investment (การลงทุนโดยตรงระหว่างประเทศ) ที่ทางด้าน BOI (สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน) บอกว่าทำลายสถิติได้กี่ล้านๆ ในปีที่ผ่านมา เขาก็อยากมาอยู่แล้ว แต่เราอยากให้มีธุรกิจเสริมมาด้วย ไม่ใช่มาตั้งแค่ Data Center แต่อยากให้ตั้ง Research Center ด้วย แต่ไม่ใช้ว่าพอนักลงทุนมาปั๊บ เจอกำแพงภาษีปั๊บ มันก็ต่อยอดไม่ได้ เราอยากให้มีการต่อยอด เราไม่อยากได้แค่โรงงานอย่างเดียว เราอยากได้ห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ของเขาทั้งหมดที่มันจะตามมา เราอยากได้คนของเขาด้วย อีกเรื่องหนึ่งที่พูดถึงกันน้อย ซึ่งผมได้เจอกับเลขา BOI พบว่า ตัวเลขการลงทุนกี่ล้านๆ เป็นสิ่งที่นักข่าวหรือประชาชนอยากจะเห็น แต่ในรายละเอียดเวลาไปเจรจาหลายๆ หน เราไม่ได้เจรจาแค่นี้นะครับ ไม่ใช่แค่ “มาลงทุนสิ เดี๋ยวเราให้ Tax Privileges” อย่างนั้นอย่างนี้ แต่เราจะให้คุณเยอะขึ้นนะ ถ้าคุณมาตั้ง Research Center ถ้าหากมีการแลกเปลี่ยนของบุคลากรซึ่งกันและกันสิ่งนี้ BOI ทำได้ดีมาก นั่นคือเขาไม่ได้เอาแค่เงินลงทุนอย่างเดียว แต่บังคับให้มาตั้งศูนย์การศึกษาและศูนย์แลกเปลี่ยนเทคโนโลยีด้วยเสริมสร้างศักยภาพของเด็กไทยถ้าเกิดฉายหนัง เราฉายได้ยาวเลย ฉายได้ครบวงจร ฉะนั้นเรื่องเหล่านี้สำคัญนะ เป็นเรื่องที่ที่ผมอยากไปพูดที่ วปอ. เพราะต้องยอมรับว่าข้าราชการทั้งหลายที่เรียน วปอ. นั้น อีก 5 ปีเป็นอธิบดี เป็นผู้ว่าราชการจังหวัด เป็นแม่ทัพนายกองทั้งนั้น คนเหล่านี้จะเคลื่อนประเทศไทยต่อไป ส่วนภาคธุรกิจผมไม่ค่อยแน่ใจ เพราะใช้เส้นสายเข้ามาเยอะ หลังจากคุณพูดที่ วปอ. จบแล้ว คุณได้สบตากับพวกเขาบ้างไหม เห็นความหวังในแววตาบ้างไหม?ผมเชื่อว่าเห็นความหวัง เพราะขณะที่ผมพูดแรงและค่อนข้างออกไปทางก้าวร้าว หลังจากนั้นเขาเชิญกลับไปผมพูดอีกนะ ผมไม่ได้พิสูจน์ด้วย Eye Contact หรือพิสูจน์ด้วยคำพูด ผมพิสูจน์ด้วย Action ตลอดเวลาที่ผมถูกผู้บัญชาการทหารสูงสุดเชิญกลับไปพูด นั่นก็แสดงว่าผมคงมีประโยชน์กับท่านบ้าง แต่หากถามว่าได้ฟีดแบคกลับมาบ้างไหม ก็มีคนบอกว่า “คุณพูดย้อนแย้งนี่หว่า ตัวเองยังใส่นาฬิกา Patek Philippe ยังบินไปดูฟุตบอลเลย”ผมบอกเขาว่า "ผมไม่ได้ปฏิเสธว่าผมติดสุข แต่ผมอยากนำความเสมอภาคความเท่าเทียม ถ้าเรามีเยอะ เราก็ให้เยอะ แล้วเราก็วางตัวให้เหมาะสมในสังคมมากกว่า" บางคนก็ไม่เข้าใจ แต่ผมเชื่อว่าเขาพยายามที่จะไม่เข้าใจมากกว่า แต่ก็ถือว่าผมได้พยายามแล้ว ผมเชื่อว่าคงมีหลายท่านที่ยังเข้าใจหรืออยากเห็นด้วยกับสิ่งที่ผมพูดไม่มากก็น้อย ในรอบ 8-9 ปี คุณน่าจะเป็นนายกฯ คนแรกที่ไปเจอผู้นำในต่างประเทศเยอะที่สุด อยากรู้ว่าในสายตาของพวกเขา มองประเทศไทยอย่างไร?ผมไม่ค่อยได้เล่าเรื่องนี้ในที่สาธารณะเท่าไหร่ ถ้าให้พูดอย่างตรงไปตรงมานะ ประเทศเพื่อนบ้าน แถบอาเซียน หรือประเทศมหาอำนาจที่เป็นมิตรกับเรามานานอย่างญี่ปุ่น เขามองเราในแง่ดีแน่นอน เราเป็นฐานของเขา ดูแลประชากรเขาดี เขาลงทุนในไทยหลายล้านล้านในช่วง 60 ปีที่ผ่านมา และมีคนไทยไปเป็นประธานบริษัทของเขา เช่น คุณกลินท์ สารสิน (ประธานกรรมการบริษัทโตโยต้าฯ) คุณพรวุฒิ สารสิน (ประธานกรรมการบริษัทฮอนด้า) ประเทศพวกนี้เรามีสัมพันธ์อย่างแน่นแฟ้น เขามองเราดี รู้ซึ้งถึงปัญหา และพูดกันตรงไปตรงมาได้ว่าต้องการอะไรจากเราผมอยากพาไปดูประเทศที่ไกลๆ หน่อยอย่างอังกฤษ Volume Trade (ปริมาณการซื้อขาย) แค่ 6 พันล้านปอนด์เองนะ น้อยมาก หรืออย่างเมื่อวานซืนผมไปทานข้าวกับท่านทูตฝรั่งเศส ของเขาแค่ 5 พันล้านยูโร แต่ประเทศไทยไม่อยู่ในสายตาเขาเลย ผมขอไปเยือนทวิภาคี 2 ครั้ง เค้าปฏิเสธ หรือตอนที่ผมไปอเมริกา 2 ครั้ง คือประชุมสมัชชาสหประชาชาติ (UNGA) หนึ่งครั้ง ผมขอเจอ โจ ไบเดน (ขณะเป็นประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา) ขอเจอแบบทวิภาคี แต่ก็ไม่ได้เจอ หรือไปเอเปค (เมื่อเดือนพฤศจิกายน ปี 2566) ก็ขอเจออีกครั้งแต่ก็ไม่ได้เจอ มันชัดเจนนะ ผมกลับมาก็ไม่ได้งอน ไม่ได้โกรธอะไร แต่ผมมานั่งดูตัวเองว่าการที่เขาไม่เจอเรา มันเพราะอะไร เขาปฏิเสธเพราะอะไร?เพราะเราไม่มีอะไรไปเสนอเขา เราต้องทำตัวเราให้ดีก่อน ถ้าเราดีเดี๋ยวเขาก็เชิญเราเอง ตอนนี้เราต้องกลับมาพัฒนาตัวเอง ดูตัวเองให้เรามีความหมายในสายตาโลกอีก ประเทศอื่นเขาก็ไม่ได้เห็นว่าเรามีความหมายอะไรถึงขั้นที่ต้องเจอกัน แต่แน่นอนว่าไบเดนเขาก็ส่ง เจค ซัลลิแวน (Jake Sullivan) ซึ่งเป็นที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติ (National Security Advisor) มาคุยกับเราเรื่องปัญหาพม่า เป็นต้น ผมไม่ได้โกรธเลย ผมยอมรับว่าเราต้องกลับมาดูตัวเองให้ดี ยิ่ง โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) มา ยิ่งชัดเจนเลยว่าเขาคือวิญญาณนักธุรกิจ ต่อรองผลประโยชน์เป็นหลัก คิดว่าวันนี้คงพูดภาษานี้กันรู้เรื่องมากยิ่งขึ้นมั้ง หลายคนมองว่าการมาของโดนัลด์ ทรัมป์ จะเปลี่ยนภูมิทัศน์โลกหลายเรื่องเลย คุณมองยังไง? ผมคิดว่าน่าจะดีขึ้น ผมพูดตรงๆ ด้วยจิตวิญญาณของประธานาธิบดีทรัมป์ ท่านเป็นคนค้าขาย แล้วก็ America First แน่นอน ....คำถามคือ เราลองไปดูสิว่าใครเลือกเขาเข้ามาล่ะ เราต้องกลับมาดูตัวเองก่อนว่า ไทยได้เปรียบดุลการค้าเขา อันดับที่ 9 ของโลก (ไทยติด Top 10 ประเทศที่เกินดุลการค้ากับสหรัฐอเมริกา) แน่นอนว่า 'ไทยแลนด์' อยู่ในเรดาร์ตัวเบ้อเร่อ คำถามคือ เราทำอะไรได้บ้างหรือเปล่า อเมริกาเองก็อยากได้จากเรา 2 อย่าง คือ หนึ่ง-เอาสินค้าของเขามาขายที่เมืองไทยเยอะขึ้น สอง-อยากให้ไทยไปลงทุนในประเทศเขาเยอะขึ้น โอเคว่า เรามี ปตท. มี CP มี IPL ไปลงทุนที่อเมริกาเยอะ เราก็ต้องไปคุยว่า เรามีนะอีกทั้งท่าน ไมเคิล ดีซอมเบร (Michael George DeSombre) อดีตเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำราชอาณาจักรไทย ก็เพิ่งได้รับการแต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ฝ่ายกิจการเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก (ในรัฐบาลของโดนัลด์ ทรัมป์) ซึ่งตอนที่ผมไปประชุมเอเปก ผมไปเยี่ยมเด็กไทยในสแตนฟอร์ด บ้านของท่านดีซอมเบรก็อยู่ไม่ไกล เขาก็แวะมาหาผม เขามีความผูกพันที่ดีกับประเทศไทย เพราะฉะนั้นอะไรเหล่านี้เป็นสิ่งที่เรานำไปใช้ได้ เขารู้จักนักธุรกิจที่ประเทศไทยหลายคน ชอบตีกอล์ฟ เป็นคนที่เข้าใจประเทศไทยและอยากมาอยู่ไทยฉะนั้นผมคิดว่า นี่คือเรื่องเชิงบวกที่เราควรจะต้องเร่งจัดทำในการเจรจาซะ หลายๆ อย่างผมคิดว่าเป็นเรื่องที่ง่าย แต่ผมก็ไม่แน่ใจว่าในเชิงการทูตหรือการเจรจาด้านการค้านั้น มันค่อยๆ ทำได้ไหม หรือต้องทำทุกอย่างเสร็จเป็นแพคเกจ แต่บางทีวันนี้เราต้องพึ่งเขา ศักดิ์ศรีเราก็ต้องมีแต่เราต้องพึ่งเขาใช่ไหม ผมยกตัวอย่าง เนื้อที่มาจากออสเตรเลียเสียภาษีเท่าไหร่... 0% ครับ แต่เนื้อที่มาจากอเมริกาเสียภาษีอยู่ที่ 55% แล้วคนที่กินเนื้ออเมริกาหรือเนื้อจากออสเตรเลียคือคนที่ไหนล่ะ... ก็คือคนที่อยู่บนยอดพีระมิดถูกไหม น้อยมากนะ ไม่ส่งผลกระทบกับเนื้อไทยขนาดนั้น ทำไมคุณไม่ลดภาษีให้อเมริกาเหลือ 0% เลยล่ะ มันจะดีตรงไหนรู้ไหม? คุณลองไปดูสิฐานเสียงของทรัมป์สิว่าอยู่ที่ไหน อยู่ Midwest ซะส่วนมาก ลองดูตรงกลางสิ มันคือสีของพรรครีพับลิกันทั้งหมด แถบนั้นคือรัฐที่เลี้ยงวัวทั้งนั้น ถ้าเราลดภาษีให้เขาปั๊บ ฐานเสียงของทรัมป์จะ “เย้ ประเทศไทย” ทันที หรืออย่างชีสของอเมริกา ผมว่าชีสอเมริกาไม่อร่อยเท่าชีสของยุโรป แต่ว่าถ้าคุณจะลดภาษีให้เขา ก็ลดเลย ยังไงเขาก็สู้ชีสฝรั่งเศสไม่ได้ แต่กลัวว่าถ้ายังไม่ลด เขาจะเอาเรื่องลดราคาชีสไปต่อรองกับ EU เวลาทำค้าขายทำไมทุกอย่างมันต้องผูกกันหมดล่ะ ในเมื่อมันผูกกันหมดแล้ว หากอันหนึ่งไม่ถูกแก้ เดี๋ยวมันก็มีปัญหาตามมา เรื่องชีสเนี่ยเราสามารถแก้ปัญหาให้เขาได้เลย หรือเรื่องวัวก็เหมือนกัน วัวก็มาจากนม เป็นสารตั้งต้นของชีส ซึ่งวัตถุดิบเหล่านี้ก็มาจากรัฐของประธานาธิบดีทรัมป์ทั้งหมด ถ้าเกิดเราแก้เรื่องนี้ได้ ทำไมเราไม่แก้ไปก่อนล่ะ ผมไม่ทราบนะว่าในเชิงกลยุทธ์ของรัฐบาลไทยปัจจุบันเป็นอย่างไร แต่ว่าถ้าเกิดส่ง Early Message ไปว่า เฮ้ย เราพร้อมที่ให้ความเป็นธรรม เราพร้อมที่จะเจรจา ผมเชื่อว่ามันจะทำให้เราซื้อเวลาได้ แล้วก็ทำอะไรได้หลายๆ อย่าง สิ่งแรกที่ผู้นำไทยต้องทำคืออะไร เพื่อให้ไทยกลับไปอยู่ในสายตาโลกโอ้ย หลายอย่างครับ รู้ไหมว่าตลาดหลักทรัพย์ไทยช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ไม่เคยไปโรดโชว์ต่างประเทศเลย ไม่เคยมีรัฐมนตรีคลังไปโรดโชว์ต่างประเทศเลย แน่นอนว่านี่ไม่ใช่เรื่องเดียวนะ การที่เราจะมีความหมายในสายตาโลก มีหลายเรื่องที่เราต้องร้อยหนังเข้าด้วยกัน ต้องผนึกกำลังเป็น ‘ทีมไทยแลนด์’อย่างการประชุมดาวอส เราเพิ่งไปมาแค่ 2 ปี ผมไปปีที่แล้ว ปีนี้ท่านแพทองธารก็ไป ซึ่งก็ได้รับการตอบรับที่ดี การไปร่วมอะไรแบบนี้ก็เหมือนกับการบอกว่า เราเปิดประเทศแล้ว หรืออย่างตอนนี้ FTA (ข้อตกลงเขตการค้าเสรี) เราก็เริ่มเซ็นใหม่แล้ว กับ AFTA (เขตการค้าเสรีอาเซียน) เราก็เซ็นไปแล้ว กฎหมายรองรับ LGBTQ+ เราก็มีแล้ว ผมว่าสิ่งเหล่านี้มันใช้เวลา แต่แน่นอนครับ เรามาในภาวะที่กดดันมาก ฉะนั้นเรื่องอะไรหลายๆ อย่าง มันก็ทำให้มีความคาดหวังสูง มันต้องเกิดขึ้นเร็ว แต่ต้องยอมรับว่ามันเกิดขึ้นเร็วไม่ได้ ผมเชื่อถ้าท่านนายกฯ ได้ไปทวิภาคีกับทางท่านนเรนทรา โมดี นายกรัฐมนตรีอินเดีย) ทุกอย่างจะดีขึ้นอีก เพราะอินเดียเป็นประเทศใหญ่มาก โดยเฉพาะในอนาคตข้างหน้า ประชากรจีนจาก 1,250 ล้านคน จะเหลือ 700 ล้านคน ส่วนอินเดีย 1,280 ล้านคน จะขึ้นเป็น 1,500 ล้านคน เห็นไหมครับว่าความสำคัญมันเริ่มต้นขึ้นแล้ว แถมไทยเข้าร่วมกับกลุ่มประเทศบริกส์ (BRICS) อีกต่างหาก ร่วมกับองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) อีกต่างหาก ซึ่งเราก็ต้องทำงานเรื่องการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชันต่างๆแน่นอนว่าเราต้องทำหลายๆ เรื่องพร้อมกัน ทั้ง BRICS, OECD, กฎหมายสมรสเท่าเทียม, Roadshow International by ตลาดหลักทรัพย์, World Economic Forum, ปรับปรุงเรื่องดัชนีภาพลักษณ์คอร์รัปชัน ทั้งหมดนี้มันต้องเดินไปทั้งแผง แล้วเราต้องเดินด้วยทีมเวิร์กที่ดีด้วย แปลว่าไทยอาจไม่ถึงขั้น ‘ไม่อยู่ในสายตาโลก’ แต่เราลืมที่จะทำสิ่งต่างๆ ในรอบ 10 ปี?แน่นอนครับ คือรัฐบาลก่อนๆ อาจลำดับความสำคัญแตกต่างกันไป ฉะนั้นเมื่อผ่านไปแล้ว มันก็เป็นหน้าที่ที่เราต้องรับไม้ต่อมา อะไรที่มันด้อยแล้ว เราก็พยายามทำต่อไป หากกลับมามองภาพในอาเซียน ซ้ายพม่า ขวาเขมร ปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ฝุ่นข้ามพรมแดน ฯลฯ ปฏิเสธไม่ได้ว่าเหล่านี้คือเรื่องเร่งด่วน? แน่นอนครับ ตอนผมไปประชุมที่ดาวอสปีก่อน เขาปักหมุดมาเลยว่า อาเซียนจะกลายเป็น The Next Decade ของความมั่งคั่งรุ่งเรือง ซึ่งหมายถึงไทยด้วย แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือ เขาหมายถึงประเทศอินโดนีเซีย นั่นเพราะอินโดนีเซียมีทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นทรัพยากรธรรมชาติ, การเมืองที่มีเสถียรภาพ, มีประชากรเยอะ ฯลฯ คือการจะเป็นมหาอำนาจของโลกได้ สิ่งสำคัญที่มีประชากรเยอะ อย่าง จีน อินเดีย เวียดนาม อินโดนีเซีย บราซิล การที่อาเซียนอยู่ในสายตาโลกนั้นช่วยประเทศไทยได้เยอะมากนะ ต้องพูดตรงๆ ก่อนที่เราจะมามองปัญหาคอลเซ็นเตอร์ หรือเรื่องต่างๆ นานา มันต้องมีการช่วยเหลือกัน ต้องผ่าตัดเป็นส่วนๆ ไป ส่วนแรกคือ ‘พม่า’คุณมองวิกฤติในพม่าอย่างไร แน่นอนว่าตอนนี้พม่าเละเทะ มีกี่พวกก็ไม่รู้ หนุนหลังโดยประเทศมหาอำนาจเต็มไปหมด พม่ามีประชากร 70 ล้านคน เท่าๆ ไทย มีทรัพยากรธรรมชาติหมดทุกอย่าง ไม่ว่าจะแก๊ส ป่าไม้ เมืองแร่ ฯลฯ แต่คนที่กระทบเยอะที่สุดเลยคือประเทศไทย เพราะเรามีเขตชายแดนติดกับพม่ากว่า 2,000 กิโลเมตร ส่วนประเทศที่แบ็คอัพพม่าอยู่ตอนนี้ ที่รู้กันอยู่ก็อเมริกากับจีน ต้นปีที่แล้วผมได้เจอกับ หวัง อี้ (รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจีน) แล้วก็ได้เจอกับ เจค ซัลลิแวน (ที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติในรัฐบาลโจ ไบเดน) ทั้งสองคนมาคุยกับผมเรื่องปัญหาในพม่า เขาคงคาดหวังว่าจะมาคุยเล่นๆ เฉยๆ แต่ผมคุยตรงไปตรงมาตามสไตล์นักธุรกิจ ผมบอกเขาว่า “พวกคุณ 2 คนน่ะ เมื่อไหร่ก็ตามที่พม่ามีความสงบและเป็นหนึ่งเดียวกัน ซึ่งแน่นอนว่าวันหนึ่งก็ต้องมี และเมื่อถึงวันนั้น พวกคุณในฐานะประเทศมหาอำนาจจะแบ่งสรรผลประโยชน์กันอย่างไร Don't be shy” ผมบอกเลยว่า อย่าอายที่จะคุยกันเรื่องนี้ เพราะพวกคุณมีผลประโยชน์กันทั้งนั้นแหละ คุยกันเถอะ คุยกันให้จบ แล้วมันก็จะจบได้ เแทนที่จะแก้ให้ประเทศเขามีความสงบเป็นหนึ่งเดียวกัน คุณมองข้ามช็อตไปก่อนดีกว่าว่า การจะสงบเป็นหนึ่งเดียวกันได้นั้น ปลายทางใครจะได้อะไร แล้วถึงที่สุดมันก็จะแก้ปัญหาได้ อันนี้คือมุมมองแบบ Refreshing จะไม่เหมือนกับนักการทูตทั่วๆ ไป เพราะมันจะมีอีกหลายๆ ภาคส่วนที่มันต้องมาคุยกันเยอะแยะไปหมด สำคัญคือเขาจะอยู่กันอย่างไร แบ่งกันอย่างไร ใครจะดูแลตรงไหน คุณดูอิรักสิ ปัจจุบันนี้ยังไม่ฟื้นเลย ประสาอะไรกับพม่าที่มีครบทุกอย่าง ส่วนประเทศไทยควรอยู่เฉยๆ จุดแข็งของเราคือประเทศตรงกลาง ถ้าเราเป็นกลางได้ ประเทศมหาอำนาจตกลงกันได้ วันหนึ่งพม่ามีเอกภาพและความสงบ ...คำถามคือ โครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ของพม่ามีไหม? ถนน รถไฟ สนามบิน เขาไม่มีนะ แล้วถ้าเขาจะค้าขาย เขาพึ่งใครล่ะ ...ไทย (ยิ้ม) ถ้าเช่นนั้นในฐานะที่ไทยอยู่ตรงกลาง ตอนนี้เราควรวางตนอย่างไร? รอ แต่เอื้อให้เขามีการเจรจากัน โดยใช้ประเทศไทยเป็นประเทศกลางในการเจรจา แล้วก็อาศัยอาเซียนเป็นหัวกระดาษในการเข้าไปคุย ท่านอันวาร์ อิบราฮิม (นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย) สนิทกับไทยมาก มีความปรารถนาดีกับไทยและอาเซียน แล้วบังเอิญเป็นจังหวะที่ท่านอันวาร์เป็นประธานอาเซียนพอดี นี่ก็น่าจะเป็นข่าวดีของประเทศไทย ผมคิดว่าทั้งท่านอันวาร์ อิบราฮิม, ฮุน มาแณต, และแพรทองธาร ชินวัตร ทั้ง 3 ท่านมีความสนิทกันชิดเชื้อกันเป็นการส่วนตัว โอเคล่ะ คนที่ไม่ชอบก็อาจบิดเบือนไปพูดเรื่องอื่น แต่การที่เราพูดกันได้ รักกันได้ มันดีกว่าไหมตอนที่ผมไปเจอท่าน ฮุน มาแณต (นายกรัฐมนตรีกัมพูชา บุตรชายคนโตของฮุน เซน) ด้วยตัวเอง ผมรู้สึกว่าท่านเป็นคนเก่ง เข้าใจบริบทหมดทุกอย่าง เข้าใจการค้าชายแดนกับประเทศไทย ผมถามเรื่องสระแก้ว ช่องทางตรงนั้นตรงนี้ ท่านรู้หมดทุกอย่าง เป็นคนที่ Very knowledgeable (มีความรู้มาก) หรือเรื่องของการเผาทั้งหลายที่เกิดขึ้นจากประเด็นทางเศรษฐกิจ เป็นปัญหาเรื่องเงินในกระเป๋ามากกว่า เขาอยากเผาเหรอ เขาเผาก็ถูกจับ แต่เขาต้องเผาเพราะว่าต้องเตรียมพื้นสำหรับปลูกใหม่ ระบบการผลิตมันล็อกไว้ แล้วถ้าเกิดเขาไม่เผา เขาต้องเอารถไถ เอาเครื่องจักรมาใช้ กำไรที่เขาทำไว้เมื่อครั้งที่แล้วก็ติดลบหมด อย่างไทยเองก็พยายามใช้สารจุลินทรีย์ไปช่วยย่อย มีการชดเชยเรื่องการเผาอ้อย ซึ่งมันก็ช่วยได้ แต่บริเวณชายแดนล่ะ ลาว พม่า ที่คนเข้าไปทำเกษตรพันธสัญญา ปัญหาก็มีหมด เราจะทำยังไง ...ต้องมีกฎหมายออกมาว่าห้ามหรือมีภาษีสำหรับนำเข้าข้าวโพด เรื่องนั้นก็ต้องว่ากันไป แต่ปัญหาที่แท้จริงคือเรื่องเศรษฐกิจ (Economic) อย่างการเผาหนักๆ ช่วงปลายปีที่ผ่านมาก็มาจากกัมพูชา มันก็เป็นปัญหาด้าน Economic โลกมองกัมพูชาอย่างไร แล้วไทยจะยืนอยู่ตรงไหนดี?กัมพูชา แน่นอนว่าเขามีปัญหาที่หลบอยู่ตามตะเข็บต่างๆ ทั้งเรื่องคอลเซ็นเตอร์หรือยาเสพติดทั้งหลาย ฯลฯ แต่ถ้าเกิดประเทศเขาสงบแล้ว เราสามารถพูดคุยกับรัฐบาลครบวงจร (Unified Government) ได้ มันก็สามารถเจรจาได้กัมพูชามีประชากรไม่ถึง 20 ล้านคน รายได้ต่อหัวต่ำกว่าเราเยอะ ประเทศก็ยังไม่ค่อยพัฒนาเท่าไหร่ สมบัติที่ประเทศเขามีอยู่คือแก๊สใต้ดิน ที่บางคนบอกว่ามูลค่าตลาดที่อยู่ใต้ดินซึ่งยังไม่ได้ขุดขึ้นมา ประมาณ 20 ล้านล้านบาท คุณแบ่งกันไม่ได้เหรอ คุยกันแบบค้าขาย ถ้าตกลงกันไม่ได้ก็มาเจอคนละครึ่งทาง คนละ 10 ล้านล้าน งบประมาณแผ่นดินของไทยคือ 3.8 ล้านล้าน ซึ่งเกือบ 3 เท่าของงบประมาณแผ่นดินไทย แล้วถ้าเงิน 10 ล้านล้านไปที่กัมพูชา เขามีประชากรไม่ถึง 20 ล้านคน ถ้าเฉลี่ยต่อหัวได้เท่าไหร่? ประเทศเขาจะพัฒนาได้อีกเท่าไหร่ สนามบินเขาก็ดีได้ขนาดไหน ความเป็นอยู่ของประชาชนเขาจะดีขึ้นขนาดไหนถ้าบอกว่า “โอ้ย ขุดแก๊สไป กว่าจะได้ใช้ก็อีกตั้ง 4-5 ปีข้างหน้า” พวกคุณไม่เคยรู้เลยเหรอว่า วันที่ตกลงเซ็นสัญญาได้นั้น คุณสามารถเอา Future earning (รายได้ในอนาคต) มาคำนวณ แล้วก็สามารถลดราคาพลังงานได้ ซึ่งจะทำให้ราคาสินค้าลดลง เงินเฟ้อก็ลดลง ดอกเบี้ยก็ลดลงสำหรับผม ทรัพยากรที่อยู่ใต้ดิน สิ่งที่น่ากลัวคือ อีก 10 ปีใครจะใช้พลังงานสีน้ำตาล (หมายถึงพลังงานที่ผลิตจากแหล่งที่ก่อมลพิษ) ซึ่งแก๊สเป็นพลังงานที่สกปรกน้อยที่สุด แต่ก็ยังไม่ใช่พลังงานสีเขียว (Green Energy) ซึ่งอีก 10 ปีผมไม่แน่ใจนะว่าจะนำมาใช้ได้หรือเปล่า คนจะยอมรับหรือเปล่า เพราะสินค้าที่ผลิตในประเทศไทยแล้วใช้แก๊สในการทำไฟฟ้าก็อาจจะโดนภาษีในอนาคต ดังนั้น เอามันใช้เร็วๆ เถอะ สิ่งสำคัญคือเวลาคุณบอกว่าจะทำอะไร คุณต้องคุณฉายให้ดี ฉายภาพให้เห็นว่าเมื่อประเทศกัมพูชาดีขึ้น ไทยเราก็จะดีด้วย เขาได้ดีเราก็ได้ดี โครงสร้างพื้นฐานอะไรต่างๆ ตอนนี้เขาด้อยกว่าเราหมด อย่าไปกลัวถ้าเขาจะยกระดับตัวเองขึ้นมา หากเขาจะยกระดับประเทศด้วยแก๊สที่เขามี ไทยเราก็ยกระดับตัวเองขึ้นไปอีกได้เหมือนกัน คนเราต้องมีความหวังและแรงบันดาลใจ แล้วคุณจะทะเลาะกันทำไม ผมไม่เข้าใจ รักชาติรักได้ แต่อย่าคลั่งชาติภาพที่คุณพยายามฉายอยู่ อยากรู้ว่าผู้นำไทยทั้งซ้ายและขวาเห็นอนาคตร่วมกันแบบที่คุณเห็นหรือเปล่าเห็นครับ แต่มันก็ถูกจำกัดโดยการเมืองท้องถิ่นทั้งนั้น (Local Politics) พวกคุณอยากได้จะตาย และน่าเสียดายที่เราเองก็มี Joint Development Area (พื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย) อยู่แล้ว ซึ่งเป็นแม่แบบได้คร่าวๆ ในการที่เราจะแบ่งสมบัติกัน คุณก็ได้แต่บ่นว่าค่าไฟแพง แต่คุณต้องแยกแยะให้ถูกคุณจะบอกอย่างไรกับคนที่มองว่า ‘เรื่องเหล่านี้มันใหญ่เกินไป กว่าจะเริ่มทำได้ คงตายก่อนที่จะได้เห็น’ ผมว่าเป็นความเห็นแก่ตัวของคนๆ นั้น คุณมีญาติพี่น้อง มีลูกมีหลานหรือเปล่าล่ะ น่าเสียใจนะถ้าคิดแค่นั้น ถ้าอย่างนั้นคุณมีทางออกที่ดีกว่านี้หรือเปล่าล่ะ ที่สามารถทำได้จริงๆ ยกตัวอย่างเรื่อง Entertainment Complex แน่นอนว่ารัฐบาลไม่อยากเรียก ‘คาสิโน’ แต่อยากเรียกมันว่า สถานบันเทิงครบวงจร คนที่ไม่ชอบก็พูดแต่เรื่องผลร้ายของคาสิโน ไม่ว่าจะการพนัน ทุนจีนสีเทา ถ้าว่ากันเรื่องทุนจีนก่อนแล้วกัน คนจีนที่ติดต่อมาว่าอยากทำคาสิโนเมืองไทย เป็นบริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์เมืองนอกทั้งนั้นเลยนะ บริษัทใหญ่ๆ ทั้งนั้น ซึ่งถูกต้องมาก มันคือธุรกิจที่ Registered (จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์) แล้วทั้งนั้น เขาก็อยากเข้ามา Bid (เสนอราคาประมูล) ตรงนี้ด้วย รบกวนคุณช่วยฉายหนังเรื่อง Entertainment Complex ให้เราดูหน่อยได้ไหม สังคมควรเห็นภาพอะไรบ้าง? ทราบใช่ไหมว่า พื้นที่ที่จะสร้าง Entertainment Complex รัฐบาลพยายามใช้ที่ดินของราชการเพราะไม่อยากให้เอื้อกับเอกชนรายใดรายหนึ่ง เช่น พื้นที่ที่ผมได้ยินว่ามีศักยภาพ คือ ‘คลองเตย’ ซึ่งมีที่ดิน 3,000 ไร่ แต่เขาไม่ได้ใช้ 3,000 สร้างคาสิโนทั้งหมดนะครับ หากไปดูที่สิงคโปร์ พื้นที่ก่อสร้างทั้งหมด (Buildable Area) ของเขา ใช้ทำคาสิโนแค่ 5% เท่านั้น ที่เหลือเป็นอย่างอื่นหมดเลย ไม่ว่าจะโรงแรม ศูนย์การค้า พิพิธภัณฑ์ ออฟฟิศ สนามกีฬาฯ สนามศุภชลาศัยกับสนามราชมังคลากีฬาสถาน ซึ่งเป็น National Stadium ของไทย คุณเคยเข้าไปดูข้างในไหมว่าเป็นยังไงบ้าง มันไม่ได้มาตรฐานนะ ทั้งที่ไทยเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 23 ของโลก แต่ไม่มี National Stadium ที่คนสามารถภาคภูมิใจได้ ทำไมไม่สร้าง Indoor Stadium (สนามกีฬาในร่ม) ที่หลังคาเลื่อนเปิดปิดได้ (Retractable Roof) สร้างให้มันโมเดิร์นเทคโนโลยี สามารถเอาเครื่องจักรเข้าไปได้ จัดโชว์ได้ แน่นอนว่างบประมาณเป็นหมื่นล้านนะ ถ้าบอกว่า “รัฐบาลก็สร้างสิ” พูดง่ายนะ แต่มีตังค์หรอ ถ้าเอกชนอยากมาเปิดคาสิโน เราก็ต่อรองกับเขาสิว่าคุณต้องสร้างสเตเดียมด้วยนะ ต้องสร้างพิพิธภัณฑ์ด้วยนะ เราใส่ไปเลยใน TOR (การจัดทํารายละเอียดในการจัดจ้าง) หรืออย่างพิพิธภัณฑ์บริติช (British Museum) เป็นหนึ่งในท็อป 10 ที่ควรจะต้องเข้าไปดู น่าเสียดายไหมเวลาคนมาเที่ยวเมืองไทย มีใครพูดถึงพิพิธภัณฑ์บ้าง แน่นอนว่าอาจนึกถึงสุโขทัยกับอยุธยา แต่มันเป็น Outdoor Museum ทั้งๆ ที่ไทยมีวัตถุต่างๆ มากมายที่สามารถอยู่ในพิพิธภัณฑ์ได้ แต่เราไม่มีสถานที่ ทั้งๆ ที่เราร่ำรวยประวัติศาสตร์มากกว่าหลายๆ ประเทศ ดังนั้น เราใส่เงื่อนไขเหล่านี้ใน TOR ให้เขาสร้างพิพิธภัณฑ์ขึ้นมาถ้าหากจะมาเปิดคาสิโนได้ไหมผมเคยไปลาสเวกัส ที่เบลลาจิโอ (Bellagio) มันจะมีโชว์ชื่อว่า ‘โอ’ โดยบริษัทเซิร์ค ดู โซเลย์ (Cirque du Soleil) ที่แห่งนี้สร้างมา 25 ปี ไม่เคยเปลี่ยนเลย ผมดูตั้งแต่ตั๋วราคา 100 เหรียญยัน 300 เหรียญแล้วตอนนี้ เขาลงทุนเมื่อ 25 ปีที่แล้ว 39 ล้านเหรียญ จุได้ 1,000 กว่าที่นั่ง มีทั้งเล่นกายกรรม มีเวทีที่มีบรรยากาศสมจริง เขาลงทุนเมื่อ 25 ปีที่แล้ว ปัจจุบันโชว์ก็ยังจัดแสดงอยู่ ได้เงินผลตอบแทนจากการลงทุนกลับมาไม่รู้กี่เท่าไปแล้ว รายได้ปีหนึ่ง 7 ล้านเหรียญ ธุรกิจนี้มันดีมาก มันคือ Family Entertainment ผมพูดเรื่องนี้เพื่อที่จะบอกว่า เราเอาคาสิโนมาเป็นจุดด้อยในการที่จะไม่ทำ Entertainment Complex มากเกินไป ถ้าวันนี้คุณทำ คุณต้องคุยกับบริษัทที่ทำละครระดับโลกอย่าง เซิร์ค ดู โซเลย์ แล้วดีไซน์โรงละครมาเลย คนทั่วภูมิภาคจะมาดูโชว์ที่นี่หมด รายได้เข้าประเทศจะมโหฬาร นี่เป็นโอกาสทองในการที่เราจะให้คนอื่นมาลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน Man Made Destination (แหล่งท่องเที่ยวที่มนุษย์สร้างขึ้น) เราไม่ต้องลงทุนเอง เราให้เขามาลงทุนก็ได้ ส่วนเรื่องคาสิโน เราก็ต้องไปบริหารกันว่ากฎกติการในการเข้าคาสิโนคืออะไร กติกาในการไม่มอมเมาคืออะไร กฎกติกาในการรักษาเยียวยาคนที่ติดการพนันคืออะไร ถ้ามันไม่ดี ไม่ใช่ว่าต้องไม่มี เพราะมันมีอยู่แล้วที่ใต้ดิน เราแค่ยกระดับขึ้นมาแล้วควบคุมดูแลให้เหมาะสม เราต้องทำเรื่องเหล่านี้ควบคู่ไปกับ International Airport Development, รถไฟฟ้าความเร็วสูง, แลนด์บริดจ์ (Land Bridge) ที่คุณยกเรื่องการคัดค้าน Entertainment Complex ด้วยการนำเรื่องคาสิโนมาตีฟู สิ่งนี้กำลังสะท้อนวิธีคิดของสังคมไทยอย่างไร ทุกคนรับทราบอยู่แล้ว ศีลธรรม ศาสนาพุทธ ศีล 5 ห้ามดื่มเหล้าแต่เหล้าก็มีขายกันเต็มไปหมดผมว่าเรื่องของการค้านั้น คนมีอคติกันมากกว่า แล้วการเมืองไทยมันถูกแยกออกไปเป็นหลายขั้วเหลือเกินจนกระทั่งมันมีความเกลียดชังกัน จนกระทั่งทุกอย่างที่พูดไปมันผิดหมดทุกอย่าง อีกฝ่ายหนึ่งไม่ว่าจะทำอะไรมันก็ผิดทุกอย่าง แต่หารู้ไม่ คนเหล่านั้นกำลังทำร้ายประเทศ ...ไม่ต้องเอ่ยชื่อ ไม่ต้องเอ่ยค่าย ไม่ต้องเอ่ยขั้ว แต่ละคนก็มีแฟนคลับของแต่ละคนที่แตกต่างกันไปนะ แล้วหนังเรื่องแลนบริดจ์ล่ะ หนังเรื่องนี้สำคัญกับไทยแค่ไหน อย่างไรท่าเรือ ‘แหลมฉบัง’ ปัจจุบันอยู่อันดับที่ 20 ของโลก แล้วถ้าเราพูดถึงรถยนต์ EV ถ้าเกิดมันเทคออฟ จริงๆ อย่างที่เขามาลงทุนที่ประเทศไทยเนี่ย ท่าเรือของเราใหญ่พอไหม?ประเทศจีนมีปัญหาเรื่องความมั่นคงทางอาหาร (Food Security) ออสเตรเลียมีความอุดมสมบูรณ์ทางด้านอาหาร แล้วส่งของมาทางเรือ ทางช่องแคบมะละกา ขึ้นรถไฟความเร็วสูง ‘ซึ่งยังไม่มี’ จากสุไหงโกลกขึ้นไปหนองคายต่อไปจีน ถ้าเรามีแลนด์บริดจ์ เรือยิงตรงจากออสเตรเลียได้เลย ไม่ต้องล่องลงล่างไปสิงคโปร์ ขนถ่ายสินค้าปั๊บ ก็เอาขึ้นรถไฟความเร็วสูงแล้วไปได้เลย แลนด์บริดจ์จะลดเวลาระหว่างเดินทางจากอินเดีย อเมริกา ฯลฯ ที่จะมา จำได้ไหมว่า 2 ปีที่แล้วคลองสุเอซมีเรือพังขวางอยู่โลจิสติกส์ในระดับสากล (Global Logistics) เป็นอัมพาตหมด แต่แลนด์บริดจ์คือเรากำลังเสนอทางเลือกบางอย่างขึ้นมาผมอยากจะเสนอความคิดอีกอันหนึ่งด้วยนะ ว่าหากเราเอาจุดแข็งของประเทศไทยมาดู ไม่ใช่จุดแข็งของรัฐบาลนี้นะ ผมหมายถึงจุดแข็งของประเทศไทย จิตวิญญาณของคนไทย นั่นคือ เรารักทุกคน เราไม่ทะเลาะกับใคร จุดยืนของภูมิรัฐศาสตร์ไทยคือเราเป็นกลาง เราคบกับจีน รัสเซีย อเมริกา เรารักทุกคน ทุกคนก็รักเรา ผมไม่ได้บอกว่าไม่ให้ซื้อ F16 เรือดำน้ำ เรือบรรทุกเครื่องบิน รถถัง เราซื้ออาวุธเหล่านี้เพื่อปกป้องเอกราชของประเทศไทย แต่อีกอันนึงที่จะช่วยเราได้ คือเรามีแลนด์บริดจ์ ถ้าเราสามารถสร้างแลนด์บริดจ์ขึ้นมาแล้วทำให้เป็น Global Infrastructure Connection (การเชื่อมต่อโครงสร้างพื้นฐาน) ระหว่างโลก แล้วมีความเป็นกลาง เราจะกลายเป็นคนคุมเกม สมมุติว่า ดูไบ พอร์ต เวิลด์ (Dubai Port World) มาสร้างให้เรา เราเป็นคนคุมนะ เขาจะได้แค่ Economic Benefit บางส่วน แต่ไทยเป็นคนคุมทั้งหมด ซึ่งแน่นอนว่า สหรัฐ จีน ก็ต้องใช้แลนด์บริดจ์ ถ้าใครจะมารังแกเรา ก็คงต้องไปคุยอีกหลายคน แล้วหลายคนก็ต้องช่วยเรา แลนด์บริดจ์คือหนึ่งในองค์ประกอบที่จะช่วยให้เราเป็นสวิตเซอร์แลนด์ของเอเชียได้ และเป็นเหมือน F35 ตัวหนึ่งที่ปกป้องเอกราชประเทศไทยได้ หากเรามองในมิติความมั่นคง ถ้า Global Trade ผ่านทางแลนด์บริดจ์สัก 30-40% ทั่วโลกจะยอมให้ตรงนี้กลายเป็นอัมพาตในอีก 15 ปีข้างหน้าไม่ได้ ซึ่งแปลว่า ไม่มีเหตุผลที่พม่าจะต้องรบกันอีกต่อไป? ใช่ ไม่มีหรอก จีนมีโรงงานที่นี่ สหรัฐก็มีโรงงาน ที่นี้ทุกคนก็ต้องใช้แลนด์บริดจ์ไปญี่ปุ่น จีน อินเดีย ฯลฯ ซึ่งเป็นประเทศที่จะมีประชากรเพิ่มมากขึ้น ต้องไปแอฟริกาด้วย ซึ่งอีก 50 ปีจะเป็นมหาอำนาจโลก นั่นคือไนจีเรียซึ่งมีประชากร 700 ล้านคน มันจะช่วยตั้งค่าประเทศไทยไว้ในระยะยาวเลย คุณลองมองย้อนกลับไปสิ ถ้าไม่มีสนามบินสุวรรณภูมิล่ะ วันนี้ไทยจะเป็นยังไง? หรือตอนนั้นที่เราจะปิดสนามบินดอนเมือง ถ้าวันนั้นปิดไปจริงๆ ขอโทษทีเถอะ หายนะ แค่นี้เครื่องบินก็ไม่พอจอดอยู่แล้ววันนี้ผมอยากฉายให้คุณมองไปอนาคต เรื่องเศรษฐกิจของแลนด์บริดจ์ จริงๆ แล้วถามว่าดีมัน ผมว่ามันก็โอเค บางคนจะมาด้อยค่าแลนด์บริดจ์ว่ารีเทิร์นต่ำ รีเทิร์นช้า แต่มันมีประโยชน์ทางด้านความมั่นคงด้วย เพราะถ้าเกิดเราย้อนกลับไป 10 ปีที่ผ่านมา เรื่องของภูมิรัฐศาสตร์ เรื่องของสหรัฐทะเลาะกับจีน คนมักจะไม่ค่อยพูดถึงนะ แต่นั่นคือที่มาที่ไปว่าทำไมเราไปร่วมกัน OECD ร่วมกับกลุ่มประเทศบริกส์ (BRICS) ร่วมกันสหประชาชาติ คือทุกอย่างมันพอดีกันหมด ถามว่าเราจะมีความหมายได้ยังไงในสายตาโลก ก็ที่ผมฉายให้เห็นทั้งหมด ว่าไม่จะ Entertainment Complex เอย แลนด์บริดจ์เอย พวกนี้คือสิ่งที่เราจะยกระดับขึ้นมาได้ ประเทศไทยจะได้มีความหมายในสายตาโลกอีกครั้งหนึ่ง ช่วงเวลาที่ผ่านมา คุณรู้สึกภาคภูมิใจอะไรบ้างกับการสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ทำไปแล้ว นอกจากเรื่องสมรสเท่าเทียม เวลาผมทำงานที่บริษัท อะไรที่ผมทำดีแล้ว ผมไม่พูด ผมจะให้คนอื่นเป็นคนพูด ส่วนผมจะโฟกัสที่เรื่องไม่ดี เรื่องที่เราสามารถทำให้ดีขึ้นได้ดีกว่ามันเป็นนิสัยส่วนตัวผม ทุกๆ รัฐบาล ทุกคนก็ทำดีมาหมด แต่เรามาโฟกัสเรื่องที่เขาทำไม่ดีแล้วแก้ไขต่อไปดีกว่า เราต้องยอมรับว่ามีเรื่องที่เราต้องทำอีกเยอะมาก คุณพูดหลายครั้งว่า Perfect Solution ไม่มีอยู่จริง ในขณะที่คนอีกจำนวนมากอยากได้ความสำเร็จแบบสำเร็จรูป ชงพร้อมดื่ม คุณมองอย่างไร ช่วงเวลาที่ผมดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอยู่ ผมทำงานเยอะมาก บางเรื่องก็เป็น Low Priority บางเรื่องเป็น High Priority แต่สำหรับผม ทำอะไรได้มันต้องทำก่อน ถ้าไปดูเรื่องยากๆ อย่างเดียว มันทำไม่ไหว มันเดินไม่ได้ ไม่ก่อให้เกิดความหวังและแรงบันดาลใจในอนาคตของคนที่เขาเห็น ดังนั้น อะไรที่เราทำได้ เราทำก่อนส่วนเรื่องความหวังของเด็กรุ่นใหม่ เช่น ยกเลิกเกณฑ์ทหาร เปลี่ยนเป็นเกณฑ์ทหารสมัครใจ ทหารไม่เคยพูดนะว่าจำนวนที่บังคับเกณฑ์ทหารมันลดลงไปเท่าไหร่ แน่นอนว่าความมั่นคงต้องมีทหาร การยกเลิกเกณฑ์ทหารมันได้ใจเวลาไปหาเสียง คือผมอยู่มาขนาดนี้ อายุขนาดนี้แล้ว ผมรู้ว่ายกเลิกไม่ได้ แต่มันต้องมโรดแมปที่ชัดเจนว่า หากเราต้องการให้คนมีสิทธิ์เลือกประกอบอาชีพ เราต้องมีโรดแมปให้เขาเห็นว่า การบังคับเกณฑ์ทหารจากปีละ 50,000 เหลือ 40,000... 30,000... 20,000...10,000 และในอีก 12 ปีข้างหน้า จะไม่มีบังคับเกณฑ์ทหารแล้วเพราะว่า การที่ค่อยๆ ลดลง เราก็พัฒนากองทัพขึ้นมาเพื่อให้เป็นกองทัพที่มีคุณภาพแล้วก็คนอยากเข้ามาสมัคร สมัยก่อนผมเรียนอยู่อเมริกา มี Be All You Can Be โฆษณากองทัพเต็ม CBS, NBC, ABC เลย เขาเชื้อเชิญคนเข้ามา แล้วมาสอนให้เป็นวิศวกร มาอยู่ทหาร 5 ปี ออกไปอยู่ ปตท. ได้ เป็นวิศวกรได้ พัฒนาไปด้วยกันระหว่างที่เรากำลังลดจำนวนทหาร เราก็เพิ่มศักยภาพของกองทัพเพื่อให้คนเขาอยากสมัครใจเกณฑ์ทหารไอ้คำพูดต่างๆ อย่างปฏิรูปเนี่ย ผมเถียงกับทุกคนอยู่แล้ว ฝ่ายค้านเขาก็ว่าตลอดเวลาว่า 'มีนายกที่ไม่ปฏิรูป มันจะเปลี่ยนแปลงได้ยังไง' คือผมแคร์เรื่องคำพูดไม่ว่าจะพูดอะไร คำว่ายกเลิกเกณฑ์ทหารมันได้คะแนนเสียงก็จริง แต่คนที่เขาเป็นทหาร มีสถาบันทหาร เขาก็มีคุณค่าและทำอะไรเยอะแยะไปหมด การจะไป 'ยกเลิก' เขา อย่าพูดเอามันดี แต่อยากให้พูดไปแล้วสังคมมันเดินควบคู่กันไปข้างหน้าได้ ผมถูกว่าตลอดเวลาในสภาฯ แต่ผมก็ไม่เคย ‘Move away from Position’ คุณสังเกตสิ ผมไม่เคยใช้คำว่า ‘ปฏิรูป’ ผมว่าคำนี้มันรุนแรง ทุกอย่างต้องเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา แล้วต้องให้เวลาในการเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่แค่ประเทศไทยที่ต้องการเวลา ‘Rome wasn't built in a day’ กรุงโรมไม่ได้สร้างเสร็จภายในวันเดียว เขาพูดกันมานานแล้ว ฉะนั้นเรื่องการพัฒนา การเปลี่ยนแปลง การแก้ไขต่างๆ มันต้องให้เวลา โดยเราสร้างสภาพแวดล้อมที่ดี ผมรู้ว่าหมอไทยเก่งๆ หลายคนที่ทำงานอยู่อเมริกา เขาอยากกลับมาเมืองไทย ถ้าเราดึงพวกเขากลับมาเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยต่างๆ ได้ หลายๆ อย่างก็จะดีตามด้วย ไม่ว่าจะอุตสาหกรรมอนาคต (New S-curve) หรือเรื่อง Wellness (สุขภาพ) เราเคยมาดูไหมว่าปัญหามันคืออะไร ง่ายๆ เลย นักกายภาพบำบัด (Physical Therapist), เวชศาสตร์การกีฬา (Sports Medicine) เราไม่มี แถมตอนนี้พยาบาลก็ขาดแคลนทั่วโลก ผมคุยกับวิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า อยากให้เพิ่มหลักสูตรเยอะขึ้น ถามว่าสังคมสูงวัยต้องการอะไร ก็ต้องการพยายามและผู้ช่วยพยาบาล ต้องการคนคนดูแล ก็กลับมาที่ว่า อะไรทำได้ก็ทำก่อนดีไหม มองเลือกตั้งใหญ่ปี 2570 อย่างไรผมเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย ยังไงผมก็อยู่พรรคเพื่อไทยวันนี้พรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำรัฐบาล นโยบายหลักต้องถูกเข็นออกไปก่อน ดูแลพี่น้องประชาชนให้ครบทุกหมู่เหล่า นโยบายหลักๆ ต้องทำให้ดี ผมคิดว่าเวลามันเหลือน้อยมากนะ อีก 2 ปีนิดๆ ต้องเร่งทำผลงานออกไป ถ้ามีผลงานซะอย่างก็จะทำได้ พรรคร่วมรัฐบาลเองก็ต้องมีจุดยืนของเขา เราเองก็ต้องเอื้อเขาในแง่นโยบายของเขา เพื่อให้เขาเดินไปได้ แล้วก็ค่อยไปสู้กันด้วยเรื่องที่มันถูกต้องประชาชนไม่ใช่คนโง่ เขามองเห็นเองว่าใครทำอะไร ถ้าพรรคเพื่อไทยไม่สามารถผลักดันนโยบายสำคัญได้ ก็จะถูกลงโทษในคูหาเลือกตั้ง การที่ผมออกมาสื่อสารให้ฟังเรื่องของ 'ฉายหนังไม่ใช่ฉายภาพ' ต่างๆ เหล่านี้ ก็หวังว่าจะเข้าใจกันได้ดีขึ้น อะไรที่ไม่ดีก็ติกัน อะไรที่ดีก็ช่วยกันสนับสนุน ผมเชื่อว่ามันยังพอมีเวลา ปัจจุบัน คุณยังมีส่วนช่วยในการขับเคลื่อนประเด็นต่างๆ ได้บ้างไหม แล้วในฐานะอะไรได้บ้าง ณ สถานการณ์ปัจจุบัน ผมไม่สามารถมีตำแหน่งอะไรได้ เพราะฉะนั้นผมไม่ได้มีความคาดหวังหรืออะไรทั้งสิ้น ถ้าเกิดทำก็ต้องทำในฐานะอดีตนายกรัฐมนตรี หรือฐานะประชาชนคนไทย ที่ผมนั่งพูดอยู่เกือบชั่วโมงครึ่งที่ผ่านมา ผมก็ถือว่าทำหน้าที่อยู่แล้ว ถ้าใครอยากฟัง แล้วผมคิดว่าเหมาะสม ถูกต้องตามช่วงเวลา ผมก็ยินดีที่จะให้ความรู้ หรือใครที่เดือดร้อนแล้วอยู่ในวิสัยที่ผมสามารถทำได้ ผมก็จะช่วย เช่น เดือดร้อนเรื่องพืชผลตกต่ำ ภัยพิบัติ ฯลฯ ผมก็ช่วยเท่าที่ผมจะช่วยได้ หรือถ้าพรรคเพื่อไทยอยากได้คำปรึกษา ผมก็ช่วยเหมือนเดิม แต่การที่จะเป็นที่ปรึกษานายกฯ หรือรัฐมนตรีอะไร ผมเป็นไม่ได้เลย ดังนั้นอย่าไปคิดอะไรที่เป็นไปไม่ได้ แต่ถ้าเกิดวันหนึ่งมันมีการเปลี่ยนแปลง แล้วมันเป็นไปได้ก็ค่อยมาว่ากัน ปีนี้คุณอายุครบ 63 ปี ความรื่นรมย์ของคุณในวัยนี้มีอะไรบ้าง เวลาเจอคนที่รักกันชอบกัน มองตาก็รู้ใจ ผมก็แฮปปี้ตลอดเวลา ไปเจอเพื่อนพ้องที่งานแต่งงานก็นั่งคุยกันได้ยาวๆ หลานผมบินกลับมาจากนิวยอร์ก เมื่อ 2 วัน ผมก็มีความสุข ผมมีแพลนไปดูฟุตบอล 12 แมตช์ ผมก็ไปนะ ผมพยายามคิดถึงอะไรเหล่านี้มากกว่า ส่วนระหว่าง หากมีอะไรทำก็ยินดีช่วย อย่างทางเนชั่นชวนไปเป็นกำลังใจให้ท่านนายกแพทองธาพูดเรื่อง Woman Power ผมก็จะไป ไปช่วยอะไรได้ผมก็ไป ผมมีความรื่นรมย์ของผมอยู่ แต่ถามว่ามีความไม่สบายใจไหม เรื่อง 'ไม่สุจริตเป็นที่ประจักษ์' ผมก้าวข้ามจุดนั้นไปแล้ว คนที่คิดว่าผมไม่สุจริต มันก็คิดอยู่แล้ว แต่สำหรับเพื่อนผม เขาไม่คิดอย่างนั้นหรอก เพียงแต่มันจำกัดผม ไม่ให้ทำอะไรเท่านั้นเอง ผมทำอะไรไม่ได้ ผมไม่ได้หมายถึงว่าต้องการ Financial Return (ผลตอบแทนทางการเงิน) นะ คือบางที การที่คนเราจะอยู่ได้ มันอาจไม่ใช่ด้วยเงิน แต่อยู่ได้เพราะได้ทำอะไรมากกว่าดูเหมือนไม่มีอะไรน่าหนักใจแล้วนะไม่ครับ ไม่ลำบาก คือ 80-90% ชีวิตผมโอเค แต่ขาดอีกแค่ 10% นี่แหละ คือบางทีผมอ่านแล้วก็หงุดหงิดนะ ทำไมคนไม่เข้าใจ ยกความอคติส่วนบุคคลไปข้างนอกก่อนได้ไหมแล้วให้ประเทศเดินไปข้างหน้าได้เรื่องนี้แหละที่ผมติดใจ มากกว่าเรื่องที่ที่ถูกตัดสินว่า 'ไม่มีจริยธรรม ไม่สุจริต' ซะอีก