เปิดใจ “ปูอัด ไชยามพวาน” ปฏิเสธขืนใจสาวไต้หวัน ขอพิสูจน์ความบริสุทธิ์ตามกระบวนการ หลั่งน้ำตาขอโทษพี่ชาวจอมทอง-บางขุนเทียน ไม่กล้าขอประชาชนให้อภัย ตัดพ้อ ถ้าจะเป็นวาระสุดท้ายทางการเมือง ขอทำงานเต็มที่ก่อนทิ้งทวนตำแหน่ง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าก่อนที่ นายไชยามพวาน มั่นเพียรจิตต์ หรือ ปูอัด สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) กรุงเทพมหานคร พรรคไทยก้าวไกล จะเดินทางไปมอบตัวและรับทราบข้อกล่าวหาในคดีข่มขืนนักท่องเที่ยวชาวไต้หวัน ที่ สภ.เมืองเชียงใหม่ เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2568 ซึ่งเจ้าตัวปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา พร้อมระบุว่า หลังมามอบตัวแล้วจะขอกลับไปทำหน้าที่ผู้แทนราษฎร เพราะมีสิ่งที่ต้องทำมากมาย ยืนยันว่าไม่ได้หนีไปไหน มีอะไรมาพบกันที่สภาฯ ได้ ส่วนเรื่องที่ว่ามีตำรวจเรียกรับเงินนั้น ตนไม่เคยให้สัมภาษณ์ ไม่ทราบว่าใครเป็นคนนำข่าวนี้มาจากไหน

ทั้งนี้ นายไชยามพวาน ได้เคยเดินทางไปยังสำนักงานของ นายเดชา กิตติวิทยานันท์ ทนายความ เพื่อขอคำปรึกษาและแนวทางในการต่อสู้คดี เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2568 ก่อนที่จะเข้ามอบตัว ในวันนั้น นายไชยามพวาน เปิดใจกับผู้สื่อข่าวไทยรัฐทีวี ว่า ส่วนตัวยอมรับตามตรงเลยว่าเครียดมาก เครียดจนนอนไม่หลับตั้งแต่ถูกออกหมายจับ เพราะนี่ถือว่าเป็นครั้งแรกที่ตนมีหมายจับในคดีอาญา

...

ผู้สื่อข่าวได้สอบถามว่าการมาหา นายเดชา เพราะต้องการให้เป็นทนายความในคดีนี้หรือแค่มาขอคำปรึกษาทางกฎหมาย ซึ่งทนายเดชา กล่าวว่า นายไชยามพวาน มีผู้หลักผู้ใหญ่พามา และนายไชยามพวาน ให้ความเคารพตนอยู่แล้วเหมือนพี่น้องกัน เมื่อเจอสถานการณ์นี้ทำให้ยังหาทางออกชีวิตไม่ได้ จึงมีการมาพูดคุยกันเพื่อเสนอทางออก เนื่องจากนายไชยามพวาน ไม่ใช่ผู้ต้องหาธรรมดา แต่เป็นถึงระดับ สส. เป็นผู้แทนราษฎร เพราะฉะนั้นตนจึงให้คำแนะนำว่า หากมีกรณีเช่นนี้เกิดขึ้นผู้เป็นผู้แทนราษฎร จำเป็นต้องเร่งออกมาชี้แจง ไม่ใช่หนีปัญหา และต้องเผชิญความจริง ก่อนหน้านี้ นายไชยามพวาน เคยมาหา 2-3 ครั้ง ตนจึงแนะนำไปว่าเราต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม คือการมอบตัว แม้เราจะมีเอกสิทธิ์ก็ตาม หากมีหมายเรียกต้องไป เพื่อเป็นแบบอย่างให้กับประชาชน ไม่ต้องรอให้มีการลงมติใดๆ เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ของเราเอง

ทนายเดชา กล่าวต่อไปว่า นายไชยามพวาน มีทนายความอยู่แล้ว และตนไม่ได้มีบทบาททั้ง 2 ตำแหน่งนี้ ตนเหมือนพี่ชายที่เมื่อน้องมีปัญหาก็มาหากันเท่านั้น มีการให้กำลังใจกัน และบอกให้มอบตัวเพื่อสู้คดีด้วยพยานหลักฐาน แต่ถ้าหากทำผิดก็ต้องยอมรับ พร้อมย้ำว่าตนเองไม่ใช่ทั้งทนายความและที่ปรึกษากฎหมาย เบื้องต้นได้เห็นพยานหลักฐานพอสมควรแล้ว แต่ไม่ขอพูดว่า นายไชยามพวาน ถูกหรือผิด ต้องต่อสู้ตามกระบวนการทางกฎหมายต่อไป

ขณะที่ นายไชยามพวาน เปิดเผยถึงการมาพบทนายเดชา ว่า เป็นการมาพบปะขอคำปรึกษาจากผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือและเป็นผู้มีประสบการณ์ เนื่องจากเป็นครั้งแรกที่ได้รับหมายจับในคดีลักษณะนี้ ขณะนี้ตนได้เตรียมเข้ามอบรับและรับทราบข้อกล่าวหาทั้งหมด ตามคำแนะนำของผู้ใหญ่ พร้อมเผยความรู้สึกว่า

“ก็ต้องพูดตรงๆ ว่าพอมันเจอแบบนี้มันเครียดจริงๆ พี่เด (ทนายเดชา) ก็จะทราบดีว่าผมเครียดมาก ปฏิเสธไม่ได้ว่าใครที่เจอเรื่องแบบนี้ไม่เครียดก็แปลก ก็เครียดจริงๆ สิ่งที่รู้สึกตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา อยากจะขอโทษพี่น้องประชาชนในพื้นที่จอมทอง-บางขุนเทียน เพราะว่าเขาเป็นคนเลือกผมมา เชื่อมั่นในอดีตพรรคที่ผมอยู่ ก็ต้องขอโทษพี่น้องจอมทอง-บางขุนเทียนจริงๆ ครับ”

ขณะเดียวกัน นายไชยามพวาน ยังยืนยันด้วยว่าไม่ใช่การขืนใจ ตนเองไม่ได้มีพฤติกรรมอย่างที่ผู้กล่าวหากล่าวอ้างแน่นอน และขอปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา ตนพร้อมที่จะต่อสู้ในกระบวนการยุติธรรม และเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมของไทย อยากให้ต่างประเทศเชื่อมั่นเช่นกัน รายละเอียดและข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในคืนนั้นเป็นไปตามคลิป ตนเองเจอกับผู้เสียหายที่สถานบันเทิง เป็นครั้งแรกที่เจอกันและได้มีการพูดคุยกันในสถานบันเทิง จากนั้นเหตุการณ์ก็เป็นไปตามภาพคลิปจากกล้องวงจรปิดที่ได้เห็นกัน แต่ยังไม่ขอเปิดเผยรายละเอียด ขอให้เป็นไปตามกระบวนการในชั้นศาล เพราะจะเป็นหลักฐานในการนำไปต่อสู้ตามกระบวนการของกฎหมาย

ผู้สื่อข่าวถามต่ออีกว่าก่อนหน้านี้ทางตำรวจได้เรียกเข้าไปพบก่อนออกหมายจับหรือไม่ นายไชยามพวาน ตอบว่า เป็นส่วนของการทำงานของตำรวจ สภ.เมืองเชียงใหม่ ที่ไม่ได้ออกหมายเรียกหรือแจ้งให้ตนไปให้ปากคำก่อนจะมีหมายจับ ส่วนตัวก็ไม่ได้มองว่าแปลกอะไร เพราะทางตำรวจคงฟังและพูดคุยกับทางผู้เสียหายเพียงอย่างเดียว ถือเป็นการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ตนในฐานะผู้ถูกกล่าวหาก็ต้องนำหลักฐานไปแก้ต่างเพื่อเข้าสู่กระบวนการทางกฎหมาย

ส่วนคำถามว่ามองเรื่องที่เกิดขึ้นมีนัยยะทางการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่ นายไชยามพวาน ยอมรับตามตรงว่าคงปฏิเสธไม่ได้ว่าเกี่ยวข้องกับการเมืองหรือไม่ เพราะทุกวงการ ทุกองค์กรจะมีการเมืองภายในอยู่แล้ว ตนเองคือนักการเมือง ก็ต้องยอมรับว่ามีเรื่องการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่ก็ไม่รู้ว่าเป็นการเมืองในเรื่องไหนบ้าง

สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะกระทบต่ออนาคตทางการเมืองหรือไม่ นายไชยามพวาน บอกว่า ขอแบ่งเป็น 3 ส่วน ส่วนแรก คือ ส่วนของสภาฯ ให้ว่ากันไปตามระบบ ตนตั้งใจจะเดินทางเข้ามอบตัวที่ สภ.เชียงใหม่อยู่แล้ว ก่อนวันที่ 20 กุมภาพันธ์ ที่จะมีวาระของตนเข้าสู่ที่ประชุมให้สภาฯ ได้เดินหน้าต่อ ไม่อยากให้สภาฯ หยุดชะงักเพราะตน ส่วนที่ 2 คือเส้นทางทางการเมืองของตน ยังมีหลายภารกิจที่ต้องดำเนินการอยู่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องคอลเซ็นเตอร์ คำปฏิญาณที่จะพาเด็กๆ กลับจากปอยเปต เพราะฉะนั้น ตนยังมุ่งมั่นในเส้นทางนี้ ก็จะเดินหน้าทำงานตามที่ได้พูดเอาไว้ ควบคู่กันกับการต่อสู้คดีที่เกิดขึ้นในชั้นศาล ส่วนที่ 3 อนาคตทางการเมือง จะเป็นอย่างไรก็คงต้องยอมรับ

“ถ้ามันจะเป็นวาระสุดท้ายทางการเมืองของผม ผมก็จะทำตามสิ่งที่ผมเชื่อ ทำตามประเทศที่ผมฝัน จะทำตามอย่างที่ประชาชนในพื้นที่อยากได้ให้ได้มากที่สุด เพื่อทิ้งไว้ว่าตัวผมอาจจะเป็น สส. ที่เป็นตัวอย่างที่ไม่ดีบ้าง แต่การทำงานของผมยังพอให้อภัยได้”

ในช่วงท้าย นายไชยามพวาน ยกมือไหว้บอกกับพี่น้องประชาชนด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือว่า ขอโทษที่ทำให้ผิดหวัง โดยเฉพาะประชาชนในเขตจอมทอง-บางขุนเทียน ที่ตัดสินใจเลือกตนมาทำหน้าที่ผู้แทน ตนไม่กล้าจะขอให้พี่น้องประชาชนให้อภัย แต่ตนจะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ตามกระบวนการ และจะทำงานให้ทุกคนอย่างเต็มที่ แก้ปัญหาทุกอย่างเพื่อทิ้งทวนตำแหน่งตนเอง ทั้งปัญหาพื้นที่และโครงสร้างประเทศ.