พ.อ.หม่อง ชิตตู่ หัวหน้ากองกำลังพิทักษ์ชายแดนกะเหรี่ยง ที่เรียกตัวเองว่า BGF พยายามบอกกล่าวผ่านมายังรัฐบาลไทยให้ยกเลิกมาตรการเด็ดขาดตัดไฟ ตัดเน็ต และ ไม่ส่งน้ำมันไปขายยังเมืองบาปชเวก๊กโกในเมียวดี อันเป็นที่ตั้งสำคัญของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และ แหล่งรวมมิจฉาชีพทุกประเภท ตั้งแต่สแกมเมอร์ ไปจนถึงการค้ามนุษย์ ฟอกเงิน และยาเสพติด 

เขายังพยายามบอกรัฐบาลไทยว่า การกวาดล้างแก๊งคอลเซ็นเตอร์ของไทยด้วยวิธีการตัดท่อน้ำเลี้ยงต่างๆ เหล่านี้ ทำให้ผู้คนบริสุทธิ์ต้องเดือดร้อน โดยเฉพาะโรงเรียน และ โรงพยาบาล

แถมเขาก็ยังสร้างภาพตบตาคนทั้งโลกว่า ตัวเขาเองก็ถูกจีนเทาหลอกขอเช่าอาคารเพื่อทำคาสิโน แต่เอาไปเอามา กลับกลายเป็นที่ซ่องสุมของแก๊งคอลเซ็นเตอร์  สแกมเมอร์ และ ค้ามนุษย์ไปซะงั้น

อันที่จริง หม่อง ชิตตู่ รู้อยู่เต็มอกกับเรื่องนี้ เพราะเขายังคงแบ่งเงินจากรายได้ของเมืองบาปแห่งนี้ให้แก่ นายพล มิน อ่อง ลาย ผู้นำรัฐบาลเผด็จทหารต่อเนื่องเพื่อรักษาตำแหน่งหัวหน้ากองกำลัง BGF ให้ราบรื่น 

แล้วเสแสร้งว่าได้ร่วมมือกับรัฐบาลไทยในการกวาดล้างขบวนการเหล่านี้ด้วยการรีบปล่อยตัวผู้คนที่ถูกระบุว่า จีนเทาล่อลวงไปเป็นคอลเซ็นเตอร์ และสแกมเมอร์ออกมาเป็นระลอก

อย่างไรก็ตาม ระลอกแรกที่ส่งออกมายังประเทศไทย 261 คนนั้น พบว่าทั้งหมดเป็นคนต่างชาติ ไม่ว่าจะเป็น ประเทศในกลุ่มแอฟริกา เช่น เอธิโอเปีย เคนย่า, ประเทศในแถบเอเชีย เช่น อินเดีย มาเลเซีย อินโดนีเซีย รวมถึงจีน ซึ่งทั้ง 261 คนให้การว่า พวกเขาสมัครใจเข้าไปทำงานเป็นสแกมเมอร์ ประเภทโรแมนซ์สแกม เพื่อหลอกลวงผู้คนในประเทศต่างๆ ทั่วโลกให้หลงรัก ตั้งแต่หลอกว่า เป็น แบรดพิท ไปจนถึงดาราฮ่องกง เพราะพูดภาษาอังกฤษได้ มีเพียง 1 คนเท่านั้นที่แจ้งกับเจ้าหน้าที่ทหาร และตำรวจไทยว่าถูกล่อลวงมา 

...

หม่อง ชิตตู่ ยังเล่นใหญ่ด้วยการทำสารคดีที่ทหาร BGF  เรียกบรรดาแก๊งทั้งหลายลงจากอาคาร พร้อมเรียกประชุมบอสจีนเทาต้องยุติการทำธุรกิจบาปเพื่อตบตาชาวโลก และรัฐบาลไทย ว่าเขาพยายามอย่างเต็มที่ที่จะร่วมปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์แล้ว

โดยกำหนดจะทยอยส่งคนมากกว่าหมื่นคนออกจากเมียนมาเข้ามายังประเทศไทย เพื่อส่งต่อกลับไปยังต้นทาง แต่ในทางตรงกันข้าม หม่อง ชิตตู่ กลับส่งกองกำลังของเขาคุ้มกันความปลอดภัยให้แก่กลุ่มบอสใหญ่จีนเทาให้เดินทางกลับคฤหาสน์ที่อยู่ห่างออกไปในเมียวดี 

เจ้าหน้าที่ตำรวจ ดีเอสไอ และทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในฝ่ายไทย ยืนยันตรงกันว่าได้มีการสืบประวัติคนเหล่านี้ รวมถึงบอสจีนเทาแล้ว พบว่า แทบทุกคนมีประวัติอาชญากรรม ไม่งั้นคงไม่กล้าเข้าไปทำธุรกิจในเมียนมาซึ่งกำลังทำสงครามกลางเมืองกันอยู่ หรือเข้าไปร่วมแก๊งจีนเทาทำธุรกิจบาปในชเวก๊กโก  

เจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยยังระบุด้วยว่า แก๊งคอลเซ็นเตอร์ และสแกมเมอร์ที่อยู่ในชเวก๊กโก จำนวนมากตั้งขึ้นมาเพื่อหลอกลวงคนทั่วโลก โดยพบว่า  20 ประเทศที่ถูกคนเหล่านี้โทร.ไปหลอกลวงให้โอนเงินผ่านบัญชีม้า หรือ หลอกให้หลงรักโดยวิธีการโรแมนซ์สแกมนั้น มีความสูญเสียรวมกันสูงถึงกว่าปีละ 1.2 ล้านล้านดอลล่าร์ หรือประมาณ 36 ล้านล้านบาท(2022-2023) เพิ่มขึ้นถึง 20 เท่าจากปี 2021

การศึกษาค้นคว้านี้ดำเนินการโดยพันธมิตรระหว่างประเทศเพื่อการปราบปรามการหลอกลวง และ สแกมแอดไวเซอร์ เว็บไซต์ที่จัดตั้งขึ้นเพื่อป้องกันการถูกหลอกลวงทางอินเทอร์เน็ต เพราะเป้าหมายหลักของแก๊งต้มตุ๋นเหล่านี้ก็คือ ประเทศร่ำรวย 

และในภูมิภาคเอเชียก็มี สิงคโปร์ เป็นประเทศที่ผู้คนถูกหลอกลวงทางออนไลน์สูงสุด ตามด้วยสวิตเซอร์แลนด์ และออสเตรีย โดยแก๊งต้มตุ๋นเหล่านี้สามารถดึงเงินที่หลอกมาได้ เข้ามาจุนเจือเศรษฐกิจเมียนมา กัมพูชา และลาว ได้โดยคิดเป็น จีดีพี สูงถึง 40% ทีเดียว

ปรับเป้าหมายสู่ “ปอยเปต”

อาณาจักรคอลเซ็นเตอร์ตัวจริง

ที่ตั้งของเมืองบาปหลอกคนไทย

สำหรับคนไทยที่มีตัวเลขการถูกหลอกลวงเป็นวงเงินสูงถึงปีละประมาณ 55,000 ล้านบาทนั้น เจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยยืนยันว่า แก๊งต้มตุ๋นทั้งหลายไปรวมตัวกันอยู่ที่เมืองปอยเปต ของ กัมพูชา ไม่ใช่ที่ชเวก๊กโกอย่างที่ หม่อง ชิตตู่ สร้างภาพตบตา

เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ได้มีโอกาสเข้าเรียนหลักสูตรการสืบสวนสอบสวนจาก FBI เปิดเผยว่า หลังกลุ่มทุนจีนแห่ไปลงทุนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ใน “สีหนุวิลล์” โดยสร้างโครงการใหญ่ๆ หลายแห่ง ทั้งภายใต้การร่วมทุนกับนักธุรกิจท้องถิ่น และการเปิดซิงของรัฐบาลกัมพูชาเพื่อให้นักลงทุนต่างชาติเข้าไปลงทุนโดยตรงได้ในช่วงระหว่างปี 2019 ตึกรามบ้านช่องขนาดใหญ่ก็ถือกำเนิดขึ้น แต่โชคร้าย ยังไม่ทันที่จะได้เปิดทำการ ได้เกิดมีโรคระบาดใหญ่ที่ทำลายทุกอย่าง อย่างไวรัสโควิด-19 ถือกำเนิดขึ้น 

นั่นทำให้นักลงทุนจีน ต้องกลับบ้านกันไปหมด คงเหลือทิ้งร้างไว้แต่ตึกราม และอาคารขนาดใหญ่ๆมากกว่า 500 แห่ง ในจำนวนนี้เป็นอาคารที่สร้างเสร็จเพียง 120 หลัง ที่เหลือส่วนใหญ่ ยังสร้างไม่เสร็จ 

สีหนุวิลล์ ที่เคยวาดฝันว่าจะเป็น “มาเก๊า” แห่งที่ 2 ของเอเชีย จึงกลายมาเป็นแหล่งทำมาหากินขนาดใหญ่ของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และสแกมเมอร์ที่มีกลุ่มจีนเทาอยู่เบื้องหลัง ซึ่งตั้งขึ้นเพื่อหลอกลวงคนไทยโดยเฉพาะ เพียงแค่ประกาศหาคนไทยที่ไม่มีงานทำ ยากจน ชอบเสี่ยง และมีประวัติอาชญากรรม เข้าไปร่วมเป็นเครือข่าย 

ที่ปอยเปต ยังเป็นดินแดนที่คนไทยจำนวนมากเรียกกันว่า “นรก” เพราะถ้าไปถึงแล้วเปลี่ยนใจ หรือไม่อยากทำ ก็ต้องถูกทำร้ายด้วยวิธีการต่างๆ ตั้งแต่เอาไฟฟ้าช็อต รัดคอ กระทั่งถึงการโยนออกจากตึก ตามที่อดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร เคยพูดไว้ 

เจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยเชื่อว่า แก๊งคอลเซ็นเตอร์เหล่านี้ น่าจะมีจำนวนมากถึง 300 แก๊ง แต่ละแก๊งยังเป็นโจรที่เคลื่อนที่ได้รวดเร็ว จากตึก 25 ชั้น ลงสู่แก๊งใต้ดินและฝังตัวอยู่ในพื้นที่ที่มีชายแดนติดกับไทย 

อย่างไรก็ตาม ด้วยวงเงินที่หลอกลวงจากคนไทยไปได้จำนวนมาก จึงทำให้เศรษฐกิจของเมืองปอยเปตคึกคักไปด้วยแสงสีที่เจิดจ้า และส่องสว่างไปทั่ว ดังนั้น ปฏิบัติการกวาดล้างแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และสแกมเมอร์ ในปอตเปต จึงอาจทำไม่ได้ง่ายๆ เหมือนในเมียนมาที่มีกลุ่มชาติพันธ์ุจำนวนมากอยากแบ่งแยกแผ่นดิน และดินแดนต่างๆ ออกมาเพื่อปกครองกันเอง การตัดไฟ ไม่ส่งน้ำมัน อาจทำไม่ได้เหมือนที่เมียวดี เพราะปอยเปต มีแหล่งไฟฟ้าหลังแสงอาทิตย์จำนวนมาก ยกเว้นก็แต่ ตัดสัญญาณอินเทอร์เน็ต 

แต่อย่างที่เคยบอกไว้ ปัญหาทั้งหมดจะแก้ไขได้โดยง่าย หรือยาก อยู่ที่การเจรจาของผู้มีบารมี และมาตรการเสริมอื่นๆ ที่อาจสามารถแลกเปลี่ยนกับรัฐบาลกัมพูชาได้ ซึ่งก็ยังไม่รู้ว่า จะลงมือได้เมื่อใด

ระหว่างรอการกวาดล้างที่ปอยเปต คนไทยต้องท่องคาถานี้ให้ดี...อัตตาหิ อัตโนนาโถ...ซึ่งแปลว่า ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน นั่นเอง