“รักชนก” สรุปงาน “Hack งบประกันสังคม” ทริปดูงานเบิกเฟิร์สคลาส รายจ่ายเพิ่มทุกปี คอลเซ็นเตอร์มีค่าใช้จ่าย 100 ล้าน แต่สายไม่เคยว่าง ค่าตอบแทนประจำปีอีก 100 ล้าน ตั้งคำถาม ทำงานเหมาะสมกับโบนัสหรือไม่

วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2568 น.ส.รักชนก ศรีนอก สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) กทม. พรรคประชาชน โพสต์ภาพและข้อความผ่านทางเฟซบุ๊ก สรุปงาน “Hackathon งบประกันสังคม” ครั้งแรกในรอบ 34 ปี เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2568 ซึ่งจัดขึ้นโดยคณะกรรมาธิการศึกษาการจัดทำและติดตามการบริหารงบประมาณ ณ อาคารรัฐสภา โดยหนึ่งในวิทยากรของงานคือ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า

น.ส.รักชนก เผยในตอนหนึ่งว่า ครั้งแรกของการ Hack งบประกันสังคม กองทุนที่ใหญ่ที่สุดในไทย ซึ่งการใช้งบประมาณในการบริหารจัดการยังมีบางส่วนที่เป็นหลุมดำ ซื้อแบบจำเพาะเจาะจงเยอะ ส่วนอันที่แข่งราคาก็ไม่โปร่งใส หากไม่มีบอร์ดประกันสังคมซึ่งมาจากการเลือกตั้ง ประกันสังคมก้าวหน้า ประชาชนคงไม่มีโอกาสเข้าถึงข้อมูลเหล่านี้

จากนั้นยกประเด็นการต่างประเทศ ทริปดูงานทริปหนึ่งของประกันสังคม 6 วัน 5 คืน งบประมาณที่ใช้ 2.2 ล้าน สำหรับ 10 คน ค่าบัตรโดยสาร การเบิกเฟิร์สคลาส 160,000 บาท 2 คน ราคาตลาดต่างกันเกือบ 60,000 บาท ค่าที่พัก 16,000 บาทต่อคืน คือราคาระดับ 5 ดาวของญี่ปุ่น พร้อมตั้งคำถามว่าจำเป็นหรือไม่ที่ต้องใช้จ่ายฟุ่มเฟือยขนาดนี้ ค่าพาหนะในการเดินทางต่างประเทศ 35,000 บาทต่อคน ไปดูงานทำไมไม่ใช้วิธีเหมารถ

...

ขณะที่ประเด็นงบภาพรวม รายจ่ายประกันสังคมเพิ่มขึ้นทุกปี
ปี 2563 จำนวน 4,000 ล้านบาท
ปี 2564 จำนวน 5,281 ล้านบาท
ปี 2565 จำนวน 5,332 ล้านบาท
ปี 2566 จำนวน 6,614 ล้านบาท

งบยุทธศาสตร์ เปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด ช่วงปี 2563 - 2564 จาก 965 ล้าน กระโดดไป 2,000 ล้านบาท ส่วนหมายเลขโทรศัพท์ Call Center 1506 มีค่าใช้จ่ายหลัก 100 ล้านบาทในทุกๆ ปี เป็นค่าเช่าสถานที่ 50 ล้าน แต่คอลเซ็นเตอร์สายไม่เคยว่าง สุดท้ายขอข้อมูลอะไรไม่ได้ ในปี 2566 โครงการใหญ่ เปลี่ยนระบบงานจากคอมพิวเตอร์ เป็นเว็บแอปพลิเคชัน 550 ล้านบาท มีความจำเป็นหรือไม่ อีกประเด็นที่น่าสงสัย ค่าตอบแทนประจำปี 2565 - 2566 ปีละ 100 ล้านบาท ทำงานเหมาะสมกับโบนัสหรือไม่ สำนักงานประกันสังคมมีการจัดซื้อแบบเฉพาะเจาะจงหลักล้านล้านบาทในหลายปีที่ผ่านมา

ส่วนประเด็นงบอบรมสัมมนา เขียนโครงการเหมือนๆ กันทุกปี อบรมหัวข้อเดิมๆ กับคนกลุ่มเดิมแต่จัดทุกปี เช่น ปี 2563 โครงการพัฒนาทักษะภาษาต่างประเทศ ใช้งบ 2.5 ล้านบาท ปี 2564 ก็โครงการพัฒนาทักษะภาษาต่างประเทศ 2.5 ล้านบาท และทำแบบเดิมกันทุกปี การอบรมบางโครงการซ้ำซ้อน บางโครงการถูกตั้งคำถามว่าจำเป็นหรือไม่ เช่น โครงการอบรมเทคนิคการเป็นวิทยากรมืออาชีพ โครงการพัฒนาสมรรถนะบุคลากรด้านการบริหารพัสดุ ซึ่งทุกโครงการไร้เป้าหมาย ขาดการวัดผล

ต่อด้วยประเด็นงบประชาสัมพันธ์ งบสำนักงานปี 2567 จำนวน 5,303 ล้านบาท งบ PR ในงบสำนักงาน 336 ล้านบาท การเบิกจ่ายพอๆ กันทุกปี จึงต้องเน้นดูผลลัพธ์ ซึ่ง TOR งานประชาสัมพันธ์ไม่เคยถูกช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ทางด้าน ปฏิทินประกันสังคม ปี 2567 ใช้งบ 55 ล้านบาท และงบประมาณในการจัดทำปฏิทิน 8 ปีย้อนหลัง ไม่น้อยกว่า 450 ล้านบาท

ในประเด็นเทคโนโลยีสารสนเทศ โครงการพัฒนาแอปพลิเคชัน SSO+ งบประมาณ 276 ล้านบาท เป็นงบที่รวมถึงการจัดทำระบบ เมื่อตรวจข้อมูลจาก ACTAI พบว่า การจัดซื้อจัดจ้างมีความผิดปกติในการเสนอราคา ตัวแอปฯ ประชาชนให้เรทติ้ง 1.5 แสดงถึงความล้มเหลวของแพลตฟอร์ม ไม่คุ้มค่าเมื่อเทียบกับงบประมาณที่ใช้ไป ทุกวันนี้ยังสแกนจ่ายค่าประกันสังคมผ่านแอปฯ ไม่ได้ และในการเปลี่ยนผ่านจาก SSO Connect ไปยัง SSO พลัส เลือกวิธีการเปลี่ยนตั้งแต่ฐานข้อมูลยันโปรแกรม ซึ่งไม่จำเป็นต้องเริ่มใหม่ที่ต้องทำทั้งหมด สิ้นเปลืองการใช้งบประมาณ

ทางด้านประเด็น พื้นฐานประกันสังคม คอนเทนต์ที่สำนักงานประกันสังคมทำอยู่เข้าถึงคนรุ่นใหม่ไม่ได้ ไม่ทันยุค โปสเตอร์ที่แจกให้รายละเอียดเยอะจริง แต่อ่านยากและรูปแบบไม่น่าสนใจคนไม่อยากอ่าน ขณะที่ขั้นตอนในการเข้าถึงประกันสังคมก็เข้าใจยากสำหรับคนรุ่นใหม่ ย้อนแย้งกับงบประมาณ เพราะแต่ละปีงบประชาสัมพันธ์เยอะมาก แต่คนใน กทม. ก็ไม่เคยเจอการประชาสัมพันธ์ ซึ่งประกันสังคมใช้งบกับการทำปฏิทินในปี 2567 จำนวน 55 ล้านบาท วารสาร 15 ล้านบาท แผ่นพับ 5 ล้านบาท นี่คืองบ 1 ปี ที่ประกันสังคมใช้ประชาสัมพันธ์ หากนำเงินไปทำในสิ่งที่ได้ประโยชน์กับผู้ประกันตนจริงๆ หรือการนำไปทบเพื่อสร้างความมั่นคงให้กับกองทุนมากขึ้นอาจจะดีกว่านี้

พร้อมกันนี้ น.ส.รักชนก ยังยกตัวอย่างจาก นายธนาธร ที่บรรยายหรือโครงการทำเว็บแอปฯ 850 ล้านบาท ของประกันสังคม ว่า โครงการนี้เป็นการปรับเปลี่ยนระบบงานประกันสังคมบนเครื่องคอมพิวเตอร์เมนเฟรมเป็น Web Application ราคากลาง 850 ล้านบาท ข้อมูลจากเว็บ ACTAI เปิดเผยว่า มีบริษัทที่ยื่นเสนอราคาอยู่ที่ 2 เจ้า บริษัทแรกยื่นเสนอราคาที่ 848,888,000 บาท ส่วนบริษัทที่ 2 ยื่นเสนอราคาที่ 848,500,000 บาท และเป็นผู้ที่ได้รับงานนี้ไป จึงได้ตั้งข้อสังเกตดังนี้

1. ทั้ง 2 บริษัทประมูลงานต่างกันที่เพียง 300,000 บาท ซึ่งเป็นเรื่องผิดปกติมากๆ ในโครงการราคาระดับนี้ เป็นไปได้ยังไงเสนอห่างกันเพียง 0.0004% แบบนี้เข้าข่ายฮั้วประมูลหรือไม่

2. ราคาของทั้ง 2 บริษัท เรียกได้ว่าแทบจะไม่ต่างจากราคากลางเลยด้วยซ้ำ ราวกับมีตาทิพย์มองเห็นราคากลางได้
มีคนในกระซิบบอกอะไรหรือไม่

3. โครงการนี้ ส่งงานช้าไม่ปรับ 193 วัน ตามจริงต้องชดใช้ค่าเสียหายวันละหลักล้าน แต่อ้างโควิด-19 ทำให้ได้รับ
การยกเว้นค่าปรับ หลายคนในสายเทคก็ตั้งคำถามว่าเดฟแอปแบบนี้ติดโควิดกับเขาด้วยหรือ

4. บอกว่าส่งมอบแล้ว แต่ทุกวันนี้ยังตรวจรับงานไม่เสร็จ สำนักงานต้องเสียค่าเช่าเมนเฟรมอีกเดือนละ 6 ล้านบาท

ในช่วงท้าย น.ส.รักชนก ยังระบุด้วยว่า “ก่อนที่จะมีการเลือกตั้งบอร์ดประกันสังคม ประกันสังคมทำอะไรกับเงินในกองทุนบ้างกันแน่ นี่คือปราการด่านสุดท้ายของคนทำงานหาเช้ากินค่ำ การบริหารงานที่ผ่านมายึดมั่นที่จะรักษาผลประโยชน์ของผู้ประกันตนเป็นที่ตั้งจริงหรือไม่ คิดดูว่าต้องสมทบกันกี่คนกว่าจะได้ 850 ล้านบาท และมีโครงการแบบนี้เกิดขึ้นไปแล้วอีกไม่รู้เท่าไหร่ ผู้ประกันตนทุกท่านคะ โครงการแบบนี้จะไม่สามารถเกิดขึ้นได้อีก ถ้าผู้ประกันตนช่วยกันตรวจสอบ ติดตาม ข้อมูลต่างๆ ถูกเปิดออกมาให้ประชาชนเห็นอย่างโปร่งใส และประกันสังคมทำงานอย่างตรงไปตรงมา”