“ผู้นำฝ่ายค้าน” ลงใต้ ปิดห้องคุยแม่ทัพภาค 4 หารือกระบวนการสันติภาพ ย้ำการใช้การเมืองนำทหารเป็นสิ่งสำคัญ ด้าน “พล.ท.ไพศาล” เผย ยังเผชิญการปลุกระดม เร่งฝากงานสร้างความเข้าใจให้ทุกฝ่าย ย้ำ ดูแลประชาชนอย่างเต็มที่
วันที่ 11 ก.พ. 2568 ค่ายเสนาณรงค์ จ.สงขลา นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร นำคณะ ประกอบด้วย นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคประชาชนในฐานะประธานคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ ยุทธศาสตร์ชาติ และการปฏิรูปประเทศ สภาฯ, นายรอมฎอน ปันจอร์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน, นางสาวชลธิชา แจ้งเร็ว สส.ปทุมธานี พรรคประชาชน, นายวรภพ วิริยะโรจน์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน และนายอิทธิพล ชลธราศิริ สส.ขอนแก่น พรรคประชาชน เข้าประชุมหารือร่วมกับ พล.ท.ไพศาล หนูสังข์ ผอ.รมน. ภาค 4, พล.ต.ท.ปิยะวัตน์ เฉลิมศรี ผบช.ภ.9 ผบ.กกล.ตร.จชต. และพล.ต.ชาคริต อุจะรัตน รอง ผอ.รมน.ภาค 5 สน. (2) กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 เพื่อแลกเปลี่ยนความเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์ความมั่นคงและการบังคับใช้กฎหมายพิเศษ การดำเนินคดีทางการเมือง และการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติ พ.ศ.2570 ตามภารกิจผู้นำฝ่ายค้านพบประชาชน
โดยนายณัฐพงษ์ ยืนยันวัตถุประสงค์ที่เดินทางมาหารือในวันนี้ ทางตนเชื่อว่า กระบวนการสันติภาพด้วยการใช้การเมืองนำการทหารเป็นทางออกที่สำคัญนำไปสู่สันติภาพชายแดนใต้ ซึ่งในคณะที่ร่วมเดินทางมา มีผู้เชี่ยวชาญที่ค่อนข้างรอบด้านจากกรรมาธิการชุดต่างๆ ในสภา ซึ่งเราเตรียมเดินทางไปที่เทศบาลนครยะลา เพื่อพบกับ ศอ.อบต. ฝ่ายองค์กรปกครองท้องถิ่น รวมถึงภาคประชาสังคมด้วย ทั้งนี้ ยังเชื่อว่า กลไกของสภาจะส่งเสริมกระบวนการสันติภาพของชายแดนใต้ด้วยเช่นกัน
...
พล.ท.ไพศาล หนูสังข์ แม่ทัพภาคที่ 4 กล่าวรายงานสถานการณ์ว่า จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นพื้นที่ที่มีสังคมพหุวัฒนธรรม แต่ยังคงเผชิญกับความพยายามแบ่งแยกดินแดนจากกลุ่มที่มีความคิดสุดโต่ง และมีการจัดตั้งขบวนการแบ่งแยกดินแดน หรือ บีอาร์เอ็น ทำงานด้านมวลชนในการปลุกระดม บ่มเพาะ โดยใช้ชุดความคิดที่ไม่ถูกต้อง และด้านการทหารในการก่อเหตุรุนแรงต่อเจ้าหน้าที่รัฐและประชาชนให้เกิดความหวาดกลัว โดยแนวทางการต่อสู้ของกลุ่มดังกล่าว ตั้งแต่ปี 2533 จนถึงปัจจุบัน คือ การแข่งชิงมวลชน ควบคู่ไปกับการจัดการข้อมูลข่าวสาร
การแก้ไขปัญหาของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า นำยุทธศาสตร์พระราชทานเข้าใจ เข้าถึง และพัฒนา หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง รวมถึงปฏิบัติตามยุทธศาสตร์ชาติ และนโยบายของรัฐบาล พร้อมร่วมกับทุกภาคส่วนในการทำแผนสร้างสันติสุขในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ประจำปี 2568 ซึ่งได้รับการอนุมัติจากกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร โดยผ่านความเห็นชอบ และนำมาเป็นกรอบในการดำเนินการของทุกภาคส่วน
โดยตนได้มอบหมายงานสำคัญเร่งด่วน 5 งาน เพื่อใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติงาน ให้ทุกภาคส่วนดำเนินการสร้างความเข้าใจในทุกมิติ นำหลักศาสนาที่ถูกต้องดำเนินการในทุกชุมชนและหมู่บ้าน ซึ่งจะเปิดโอกาสให้ทุกชุมชนนั้นมีส่วนร่วมในการดำเนินการ พร้อมเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นในทุกกลุ่ม เพื่อรับทราบปัญหาและความต้องการที่แท้จริง รวมทั้งเจ้าหน้าที่รัฐทุกส่วน ต้องปฏิบัติตามหลักนิติรัฐ ภายใต้กรอบกฎหมายตามรัฐธรรมนูญที่กำหนดอย่างเคร่งครัด และไม่มีการละเมิดสิทธิมนุษยชนด้วยความไม่เป็นธรรม
นอกจากนี้ยังบังคับกฎหมายกับผู้กระทำความผิดทุกคนอย่างเสมอภาคกัน และดำเนินการปรับลดการใช้กฎหมายความมั่นคง จะคงไว้เฉพาะที่จำเป็นไว้คุ้มครองผู้ปฏิบัติงานและประชาชนในพื้นที่ รวมถึงการนำผู้กระทำความผิดมาดำเนินการตามกฎหมายในกระบวนการยุติธรรมอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีเป้าหมายสำคัญคือการใช้กฎหมายปกติให้เร็วที่สุด เมื่อสถานการณ์ดีขึ้น ขณะเดียวกันยังมีการปรับลดกำลังทหารมาอย่างต่อเนื่อง พร้อมไปกับการสร้างกำลังขององค์การปกครองส่วนท้องถิ่น และเจ้าหน้าที่กองรักษาดินแดน เพื่อเตรียมรับพื้นที่ทดแทนกำลังทหาร หากสถานการณ์ดีขึ้น
ขอยืนยันว่า กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ปฏิบัติงานโดยยึดกฎหมายภายใต้รัฐธรรมนูญไทย เพื่อให้ประชาชนใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้มีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ได้ใช้ชีวิตอย่างปกติสุข
“เท้ง” พาคณะ ถกนายกเทศมนตรีนครยะลา
จากนั้น นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร พร้อมคณะเข้าร่วมประชุมกับนายพงษ์ศักดิ์ ยิ่งชนม์เจริญ นายกเทศมนตรีนครยะลา เพื่อรับฟังข้อมูลและแลกเปลี่ยนความเห็นประเด็นการพัฒนาเศรษฐกิจ การวางผังเมือง การป้องกันน้ำท่วม และความร่วมมือระหว่างองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น ณ เทศบาลนครยะลา อำเภอเมืองยะลา จังหวัดยะลา
โดยนายพงษ์ศักดิ์ รายงานผลการดำเนินงาน โดยกล่าวถึงกิจกรรมเทศบาลสัญจรและสภากาแฟที่สร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนในพื้นที่ทั้งชาวพุทธและมุสลิม รวมถึงการฟื้นฟูเมืองยะลาหลังสถานการณ์กลับสู่สภาวะปกติ โดยใช้ต้นทุนเมือง ทั้งด้านทุนความสะอาด ทุนสิ่งแวดล้อม ทุนความเป็นระเบียบเรียบร้อย ทุนวัฒนธรรม และทุนการศึกษา
“เหตุการณ์ไม่สงบทำให้คนย้ายออก 10,000 คน กระทบกับเศรษฐกิจ เราต้องพึ่งพาตัวเองเป็นหลัก เราไม่มีต้นทุนนอกจากเมือง ยะลาเป็นจังหวัดที่สะอาดที่สุดจังหวัดหนึ่งในประเทศ นอกจากนี้ ยังมีเรื่องสิ่งแวดล้อมที่เราปลูกต้นไม้ไม่น้อยกว่า 10,000 ต้นต่อปี” นายพงษ์ศักดิ์ กล่าว
นอกจากนี้ นายพงษ์ศักดิ์ ยังกล่าวถึงแผนบริหารจัดการน้ำท่วม โดยติดตั้งระบบเฝ้าติดตามภัยพิบัติและป้องกันสาธารณภัยในหลายอำเภอนอกเขตเทศบาล นอกจากนี้ยังอยู่ระหว่างการพัฒนาระบบคาดการณ์ทางสถิติของเส้นทางพายุ ซึ่งจะสามารถคาดการณ์ปริมาณน้ำฝนล่วงหน้าได้ 80 ชั่วโมง และแสดงพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วม คาดว่าระบบดังกล่าวจะแล้วเสร็จภายในปีนี้
นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน เสนอไอเดียการพัฒนาพื้นที่ โดยใช้กลไกสภาฯ ที่ตนเป็นประธานกลุ่มมิตรภาพไทย-อินโด ซึ่งถือเป็นตลาดที่น่าสนใจมาก เนื่องจากอินโดนีเซียมีประชากรเกือบ 300 ล้านคน และอีก 10 ปี เศรษฐกิจจะโตเป็นลำดับ 4 อีกทั้ง ส.ส.อินโดนีเซีย เคยบอกตนว่าอะไรก็ตามที่เติมคำว่า “บางกอก” จะเป็นสิ่งที่ดี ดังนั้นจึงเสนอให้ยะลาทำเมืองคู่แฝดกับอินโดนีเซีย
“ตนสนใจผ้าบาติก ซึ่งผ้าบาติกของอินโดนีเซียค่อนข้างโด่งดัง จึงอยากให้ยกระดับจนนำไปสู่การแข่งขัน เราอยากเห็นยะลาเป็นโมเดลที่ประสบความสำเร็จ ส่งต่อไปยังเมืองอื่น ๆ ด้วย”
ด้านนายณัฐพงษ์ กล่าวภายหลังการรับฟังรายงานว่า ปัญหาการกระจายอำนาจท้องถิ่นมีความซับซ้อนต่างจากราชการส่วนภูมิภาค ซึ่งชายแดนใต้มีความซับซ้อนมากขึ้น เพราะมีการจัดแบ่งพื้นที่เป็นเขียว เหลือง ส้ม และแดง อีกทั้งยังมีงบประมาณไม่มาก จากนั้น นายพงษ์ศักดิ์ ได้พานายณัฐพงษ์พร้อมคณะไปเยี่ยมชมอุทยานการเรียนรู้ยะลา ซึ่งเป็นการพัฒนาพื้นที่ต้นแบบเมืองแห่งการเรียนรู้ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาของเทศบาลนครยะลา