5 ก.พ. 2568 ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีนัดหมายพิจารณา ‘ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ พ.ศ. ....’ หรือที่เรียกกันว่า ‘กฎหมายชาติพันธุ์’ ในวาระ 2 โดยประเด็นที่น่าจับตามองที่สุดวันนี้ คือ ข้อถกเถียงในหมวด 5 พื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ มาตรา 27 โดยในการประชุมครั้งก่อน วันที่ 8 ม.ค. 2568 สส.หลายคนจากพรรคเพื่อไทย ลุกขึ้นอภิปรายทักท้วงโดยมองว่า มาตรา 27 ที่เขียนไว้ว่า “ให้กลุ่มชาติพันธุ์นั้นสามารถอยู่อาศัยและใช้ประโยชน์ในพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ได้ โดยไม่ต้องนำกฎหมายที่เกี่ยวข้องมาใช้บังคับแก่พื้นที่ดังกล่าว ทั้งนี้ เท่าที่ไม่เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนหรือเป็นอันตรายต่อความมั่นคงของรัฐ หรือสุขภาพอนามัย” มีโอกาสขัดต่อรัฐธรรมนูญ และไม่เหมาะสมเนื่องจากมีประโยคที่ ‘ยกเว้นไม่ต้องนำกฎหมายมาใช้ในพื้นที่คุ้มครอง’ ข้อถกเถียงนี้ส่งผลให้การพิจารณากฎหมายชาติพันธุ์ ถูกเลื่อนออกไป เพื่อกลับมาถกเรื่องนี้อีกครั้งในวันที่ 5 ก.พ. 2568 โดยคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ พ.ศ. … (กมธ.ชาติพันธุ์ฯ) จะนำร่างกฎหมายนี้กลับไปพิจารณาใหม่ให้ครบถ้วนในส่วนของเนื้อหาสาระบางมาตราที่ยังไม่มีความเหมาะสม โดยเฉพาะในส่วนของหมวด 5 พื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ โดยมาตรา 27 ที่ กมธ.ชาติพันธุ์ฯ ปรับแก้ และนำมาถกกันอีกครั้งในวันนี้ คือ“ให้กลุ่มชาติพันธุ์นั้นสามารถอยู่อาศัยและใช้ประโยชน์ในพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ได้ โดยไม่ต้องนำกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวกับการอยู่อาศัยและการใช้ประโยชน์ตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ว่าด้วยการสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า กฎหมายว่าด้วยป่าไม้ กฎหมายว่าด้วยป่าสงวนแห่งชาติ กฎหมายว่าด้วยอุทยานแห่งชาติ มาใช้บังคับแก่ในพื้นที่ดังกล่าว” หลัง สส. ถกเถียงกันมาทั้งวัน ที่สุดแล้วช่วงบ่ายของวันนี้ (5 ก.พ.68) สภาได้มีมติคว่ำมาตรา 27 ไม่เห็นด้วยกับหลักการพื้นที่คุ้มครองชาติพันธุ์ ตามกรรมาธิการเสียงข้างมาก แต่เห็นด้วยกับกรรมาธิการเสียงข้างน้อย ที่ต้องไม่ทำให้กระทบกับกฎหมายอื่น ด้วย 152 คะแนน ต่อ 246 คะแนน งดออกเสียง 2 คน และไม่ลงคะแนนเสียง 4 คน จากจำนวนผู้ลงมติ 422 คน ไทยรัฐออนไลน์ ประมวลความเห็นข้อถกเถียงของ สส. พรรครัฐบาลและพรรคฝ่ายค้าน ทั้งที่เห็นด้วยและคัดค้านกับร่างกฎหมายฉบับนี้ ลองดูกันว่า พวกเขาคิดเห็นและปภิปรายเรื่องนี้ไว้ว่าอย่างไร‘ฝ่ายคัดค้าน’ ซัด ม.27 ขัดรัฐธรรมนูญ!เริ่มด้วย จิตติพจน์ วิริยะโรจน์ สส.เพื่อไทย แสดงความเห็น ‘ไม่เห็นด้วย’ ต่อการแก้ไขร่าง พ.ร.บ.ชาติพันธุ์ในครั้งนี้ ระบุว่า โดยภาพรวมยังไม่เป็นไปตามหลักนิติธรรม รัฐธรรมนูญ และหลักกฎหมาย เหตุผลคือ กฎหมายฉบับนี้ ประสงค์ที่จะทำตามรัฐธรรมนูญมาตรา 70 ว่าด้วยการคุ้มครองวัฒนธรรมและวิถีชีวิต แต่ที่ท่านตรากฎหมายมานั้น ครอบคลุมไปถึงการครอบครองที่ดินซึ่งกระทบกระเทือนไปถึงกฎหมายทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกฎหมายที่ดินด้วย จิตติพจน์ ย้ำว่า ตามหลักการแล้วหากท่านประสงค์คุ้มครองวัฒนธรรมและวิถีชีวิต ก็ไม่ควรที่จะครอบคลุมไปถึงการครอบครองที่ดิน กฎหมายฉบับนี้เกินเลยอำนาจไปกว่าหลักการที่เรารับในวาระแรก จิตติพจน์ ระบุว่า โครงสร้างกฎหมายที่ร่างมามีลักษณะพิเศษ นั่นคือ มีการกำหนดพื้นที่ที่เรียกว่า ‘พื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์’ ซึ่งในพื้นที่นี้จะดำเนินการบริหารโดยธรรมนูญ โดยยกเว้นข้อกฎหมาย แม้จะมีเขียนระบุไว้ในมาตรา 28 ว่า ‘ในกรณีที่ผู้มีสิทธิอยู่อาศัยหรือใช้ประโยชน์ตามวรรคหนึ่ง ผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่ดังกล่าว ให้นำกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่นั้นมาใช้บังคับและดำเนินการตามกฎหมายแก่ผู้นั้นต่อไป’ โดย จิตติพจน์ กล่าวว่า “การที่ท่านเขียนว่า ‘และ’ ก็หมายความการ ขอเพียงทำตามธรรมนูญ จะไม่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายใดๆ ทั้งสิ้น หมายถึงว่า พื้นที่พิเศษที่ท่านเขียนขึ้นมา กฎหมายไทยจะบังคับใช้ไม่ได้” จิตติพจน์ กล่าว จิตติพจน์ มองว่าการเขียนกฎหมายเช่นนี้ จะทำให้พื้นที่ควบคุม เป็นพื้นที่เสมือนนอกกฎหมายในประเทศไทย เพราะสามารถ Overrule กฎหมายต่างๆ ของประเทศไทย โดยอาศัยธรรมนูญได้ วรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล สส. อีกคนของพรรคเพื่อไทย ก็ได้อภิปรายแสดงความกังวลต่อมาตราดังกล่าว ระบุว่า เห็นด้วยในหลักการที่ให้มีการดูแลกลุ่มชาติพันธุ์ แต่การร่างกฎหมาย ไม่สามารถร่างเพื่อยกเว้นข้อใดข้อหนึ่ง ซึ่งในมาตรา 27 ของรัฐธรรมนูญราชอาณาจักรไทยเขียนว่า ‘บุคคลย่อมเสมอกันในกฎหมาย’ “วันนี้เรากำลังจงใจกระทำขัดต่อรัฐธรรมนูญ คือยกร่างกฎหมายเพื่อให้สิทธิแก่กลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ผมว่ามันจะเกิดความแตกแยกในประเทศไทย” วรวัจน์ กล่าว โดย วรวัจน์ ได้แสดงความประสงค์ ในส่วนอื่นๆ ของร่างกฎหมายชาติพันธุ์ ตนพอรับได้ แต่ในมาตรา 27 นั้น ตนขอให้ตัดถ้อยคำเกี่ยวกับการยกเว้นกฎหมายต่างๆ ออกไป เพื่อไม่ให้มีกฎหมายซ้อนกฎหมาย ศักดิ์ดา วิเชียรศิลป์ สส.พรรคเพื่อไทย ยืนยันว่า กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ได้แก้ไข พ.ร.บ.อุทยานฯ และ พ.ร.บ.ป่าสงวนฯ เพื่อให้ประชาชนที่อยู่ในป่าสามารถอยู่ในป่าได้โดยการแจ้งการครอบครอง ไม่ได้มีปัญหาอะไรเลย แม้กระทั่งเหตุการณ์บ้านบางกลอย ศักดิ์ดา กล่าวว่า วันนี้ก็ไม่มีใครไปรื้อบ้านบางกลอย ยังอยู่เหมือนเดิมครับ “ผมรับราชการกรมป่าไม้และอุทยานมาทั้งชีวิต ทราบข้อมูลเรื่องนี้ดี กรมป่าไม้ กรมอุทยาน เจ้าหน้าที่ ไม่เคยไปไล่จับ โดยเฉพาะชาติพันธุ์ ยกเว้นกลุ่มชาติพันธุ์หรือบุคคลใดเข้าไปแผ้วถางพื้นที่ใหม่”“พื้นที่คุ้มครองฯ ที่ประกาศทั้งหมด เป็นพื้นที่ในป่าอนุรักษ์ แหล่งต้นน้ำลำธาร แหล่งซับน้ำ ถ้าเราปล่อยให้มีการประกาศพื้นที่คุ้มครองฯ แล้วให้กลุ่มชาติพันธุ์อยู่อาศัย ผมไม่เชื่อหรอกครับว่าคนอยู่กับป่า จะไม่เผลอถางป่า” ศักดิ์ดา กล่าว ‘ฝ่ายเห็นด้วย’ ยัน มาตรา 27 ชอบด้วยกฎหมาย ด้าน มานพ คีรีภูวดล สส.พรรคประชาชน มองว่า มาตราที่ 27 เป็นหัวใจของ พ.ร.บ.ฉบับนี้ และกรรมาธิการฯ ได้แก้ไขตามที่ประชุมใหญ่ได้เสนอแล้ว โดย สส.มานพ ให้เหตุผลสำคัญคือ ถ้าไม่เขียนแบบนี้ เจ้าหน้าที่ไม่ว่าจะเป็นกรมอุทยาน กรมป่าไม้ ฯลฯ ที่จะมีการประกาศเขตวัฒนธรรมพิเศษ จะเข้าไปทำงานตาม พ.ร.บ.ฯ นี้ไม่ได้ เพราะจะเป็นการยกเว้นการปฏิบัติหน้าที่ กล่าวคือ ทุก พ.ร.บ. ในประเทศไทยจะเขียนกำกับไว้ว่า เจ้าหน้าที่และเจ้าพนักงานตาม พ.ร.บ. ฉบับนี้ เช่น หากใครไม่ได้เป็นเจ้าหน้าที่ตาม พ.ร.บ. อุทยาน ก็ไม่สามารถใช้ พ.ร.บ.ฯ ได้ ดังนั้น กฎหมายมาตรา 27 ของ พ.ร.บ.ชาติพันธุ์ฉบับนี้ เป็นการสร้างนวัตกรรมใหม่ เป็นโซ่ข้อกลางที่จะทำให้ประชาชนและเจ้าหน้าที่รัฐทำงานด้วยกันได้ถูกต้องกฎหมาย โดยชอบด้วยกฎหมายครับสส.มานพ ยังตั้งคำถามว่า ทราบไหมว่าวันนี้ ถ้าจะเอาตามกฎหมายอุทยาน, ป่าสงวน วันนี้เราต้องย้ายประชาชนประมาณ 10 ล้านคนทั่วประเทศออกจากป่าทั้งหมด แต่วันนี้ที่อยู่กันได้เพราะอะลุ่มอล่วย เพราะพี่น้องประชาชนอยู่มาก่อนกฎหมาย เขายกตัวอย่างว่า ช่วงนี้ชาวบ้านทั่วไปเขาทำแนวกันไฟร่วมกันอุทยาน ซึ่งตามกฎหมายแล้ว ชาวบ้านไม่ได้มีหน้าที่ไปทำแนวกันไฟ ไม่ได้เขียนไว้ในกฎหมาย แต่วันนี้ที่ชาวบ้านเขาไปทำได้ เพราะเป็นผลประโยชน์ร่วมกัน ต้องรักษาป่าด้วยกัน หากลองไปดูกฎหมายอุทยาน จะมีที่เขียนว่า ห้ามเก็บก้อนหิน ห้ามคนเดินเข้าไป ห้ามเก็บใบไม้ คนที่อนุญาตทำได้คือเจ้าหน้าที่อุทยานเท่านั้น แต่ข้อเท็จจริงวันนี้คือประชาชนกับเจ้าหน้าที่ ทำงานด้วยกัน รักษาป่าด้วยกัน ทำฝาย ดูแลไฟป่า โดยไม่มีกฎหมายรองรับ “พ.ร.บ.ฉบับนี้แหละที่จะทำหน้าที่เป็นโซ่ข้อกลางที่จะมาช่วยลดความขัดแย้งระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐและประชาชน และจะไม่ทำให้เจ้าหน้าที่รัฐร่วมมือทำผิดกฎหมาย และทำงานร่วมมือกับประชาชนโดยชอบด้วยกฎหมาย หัวใจมันมีแค่นี้ “ทำไมต้องมีมาตรานี้ เป้าหมายสูงสุดคือ 1. ลดความขัดแย้ง สร้างความร่วมมือ 2. คนและป่าอยู่ด้วยกันอย่างยั่งยืน” มานพกล่าว ด้าน ชลน่าน ศรีแก้ว สส.เพื่อไทย ระบุว่า ตนเห็นด้วยอย่างยิ่งที่คณะกรรมาธิการเขียนมาแบบนี้ เหตุผลคือ เพราะกฎหมายฉบับนี้ เน้นไปที่การส่งเสริมและคุ้มครองวิถีชาติพันธุ์ ถ้าเขาได้สิทธิ์และมีโอกาสที่เท่าเทียมกับคนไทยทั่วไป กฎหมายฉบับนี้ก็ไม่จำเป็นต้องเขียน ซึ่งขณะนี้พวกเขา (กลุ่มชาติพันธุ์)ไม่มี กฎหมายที่ใช้บังคับเขาอยู่ในปัจจุบัน ไม่ได้ให้โอกาสเขาอย่างนั้น ชลน่าน กล่าวต่อว่า มาตรา 27 ในร่างก่อนหน้าของคณะรัฐมนตรี ประกาศพื้นที่คุ้มครอง 3 ขั้นตอนคือ หนึ่ง - ให้ชุมชนเป็นผู้จัดทำแผนแม่บทภายใต้การรับฟังความเห็น สอง-ส่งให้ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม จัดทำแผนที่และแผนแม่บทร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สาม-เมื่อผ่านแล้ว ส่งให้กรรมการฯประกาศพื้นที่ ชลน่าน มองว่า เนื้อหาในร่างเดิมนั้นมีปัญหาคือ “ในขั้นตอนที่ 2 ผมคิดว่ามันจะกลายเป็นคอขวด จะไปต่อไม่ได้เลย เหมือนกับกรณีรับรองแนวเขตพื้นที่ทำกินในปัจจุบันนี้ คล้ายกัน แล้วพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์จะไม่มีทางเกิดขึ้น เพราะมันจะเป็นการใช้ดุลยพินิจของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่าจะเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบ ดุลยพินิจประเภทนี้ทำลายประเทศเรามานานมากแล้ว”ชลน่าน ชี้ว่า เมื่อร่างดังกล่าวผ่านสภาวาระ 1 และถูกส่งให้คณะกรรมาธิการฯ พิจารณา ตนเห็นว่า ร่าง พ.ร.บ. ชาติพันธุ์ฉบับนี้ของกรรมาธิการฯ มีแนวทางที่จะเกิดพื้นที่คุ้มครองได้จริงๆ โดยมองว่า การเขียนมาตรา 27 ฉบับนี้ ไม่ได้ละเว้นกฎหมาย เพราะถ้าอ่านดีๆ มาตรา 27 นี้ ว่าด้วยการจัดทำแผนแม่บทและแผนที่เท่านั้น หากไม่ละเว้นหลักเกณฑ์ในการบังคับใช้กฎหมายอื่น คุณขีดเขตไม่ได้ เพราะเจ้าหน้าที่ไม่ยอม เมื่อเขียนแบบนี้ เจ้าหน้าที่ก็สบายใจว่ามีตรงนี้เปิดช่องให้อนุญาตได้ โดยสรุป ชลน่าน เห็นด้วยกับการแก้ถ้อยคำในมาตรา 27 ของคณะกรรมาธิการฯ และมองว่า มาตรา 27 ไม่ได้เว้นกฎหมายที่บังคับใช้อยู่ เพราะมาตราที่ 28 เขียนรองรับไว้ชัดเจนว่า ‘หากชุมชนมีการทำผิดข้อตกลงที่ทำไว้กับเจ้าหน้าที่ของรัฐ สามารถยกเลิกพื้นที่คุ้มครองและกลับไปใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ได้’ด้าน เอกราช อุดมอำนวย สส.พรรคประชาชน ได้แสดงความเห็นกรณีที่ สส. บางท่านมองว่า ร่างกฎหมายชาติพันธุ์ มาตรา 27 นั้น Overrule หรืออยู่เหนือกฎหมายต่างๆ ของประเทศไทย โดยเอกราชได้ยกตัวอย่าง สภาชุดแรกของประเทศไทยเมื่อปี 2489 ได้ออกร่าง พ.ร.บ.ฯ ฉบับหนึ่งชื่อว่า พระราชบัญญัติว่าด้วยการใช้กฎหมายอิสลามในเขตจังหวัดปัตตานี นราธิวาส ยะลา สตูล และมีหนึ่งมาตราที่เขียนไว้ว่า ในการวินิจฉัยชี้ขาดคดีแพ่งเกี่ยวกับเรื่องครอบครัวและมรดก อิสลาม ศาสนิกของศาลชั้นต้นฯ ให้ใช้กฎหมายอิสลามว่าด้วยครอบครัวและมรดกแทนประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เอกราช มองว่า กฎหมายที่ยกตัวอย่าง มีลักษณะใกล้เคียงกับกฎหมายชาติพันธุ์ นั่นคือ การเขียนเพื่อเป็นโซ่ข้อกลางในการบังคับใช้กฎหมายอื่นๆ นี่คือความเข้าใจในความแตกต่างหลากหลาย “ขอร้องว่าเราอย่าถอยหลังไปต่ำกว่ามาตรฐานของเพื่อน สส. สมัย 2489 เลย เห็นใจพี่น้องชาติพันธุ์เถอะครับ ผมเห็นด้วยกับกรรมาธิการเสียงข้างมากที่แก้ไขกฎหมายมาแล้ว เขาทำเต็มที่แล้ว”ด้าน จุลพงศ์ อยู่เกษ จากพรรคประชาชน ก็ได้ยกตัวอย่างกฎหมาย 2 ฉบับที่เกี่ยวกับการกำหนดพื้นที่เช่นกัน เพื่อมาอธิบายว่า มาตร 27 ในร่างกฎหมายชาติพันธุ์นี้ ขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่ โดย จุลพงศ์ อธิบายตัวอย่าง พ.ร.บ.ป่าชุมชนฯ 2562 มาตรา 103 ระบุว่า มิให้นำกฎหมายว่าด้วยอุทยานแห่งชาติ หรือกฎหมายการสงวนและคุ้มครองสัตว์ มาบังคับใช้ในพื้นที่ป่าชุมชน อีกฉบับคือ พ.ร.บ.เขตพัฒนาเศรษฐกิจตะวันออก 2561 มาตรา 37 กำหนดให้อำนาจกรรมการนโยบาย โดยยกเว้นกฎหมายหลายฉบับ เช่น กฎหมายการเดินเรือน่านน้ำไทย, กฎหมายว่าด้วยชลประทานหลวง, กฎหมายว่าด้วยการประกอบกิจการพลังงาน, กฎหมายว่าด้วยสัมปทาน, และกฎหมายว่าด้วยนิวเคลียร์สันติ“ที่เพื่อนสมาชิกบอกว่า การเขียนแบบนี้จะทำให้พื้นที่ของชาติพันธุ์เป็นพื้นที่นอกกฎหมาย ผมถามว่าพื้นที่ป่าชุมชนและพื้นที่อีอีซี เป็นพื้นที่นอกกฎหมายหรือเปล่าครับ ทำไมเราจะกำหนดพื้นที่ให้ชุมชนไม่ได้ แต่ทำไมเราถึงกำหนดพื้นที่ให้นายทุน ทำไมทำได้”‘กมธฯ’ ชี้แจง กลุ่มชาติพันธุ์ ไม่ใช่ อภิสิทธิ์ชนพชร คำชำนาญ กรรมาธิการวิสามัญสัดส่วนภาคประชาชน ได้อภิปรายเพื่ออธิบายว่า เหตุใดจึงจำเป็นต้องมีกฎหมายชาติพันธุ์ และยกตัวอย่างความไม่เท่าเทียมที่เกิดขึ้นกับกลุ่มชาติพันธุ์ ซึ่งขณะนี้ถูกแปะป้ายว่าเป็น ‘อภิสิทธิ์ชน’ จากความพยายามผลักดันร่างกฎหมายฉบับนี้ พชร ยืนยันว่า พื้นที่คุ้มครองวิถีชาติพันธุ์ในร่างกฎหมายฉบับนี้ ไม่ใช่เพื่อ ‘อภิสิทธิ์ชน’ โดยอธิบายว่า กลุ่มชาติพันธุ์มีวิถีชีวิตผูกพันกับที่ดินและฐานทรัพยากรธรรมชาติ ดิน น้ำป่า ชายทะเล หากกฎหมายปกติคุ้มครองให้พวกเขาสามารถใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติเหล่านี้ได้ เราคงไม่จำเป็นต้องนำเรื่องพื้นที่คุ้มครองวิถีชาติพันธุ์กลับเข้ามาเขียนใน "ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ พ.ศ. ...." ฉบับนี้ เนื่องจากสิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้คือ พวกเขาไม่สามารถเข้าสู่สิทธิ์ในที่ดินเหล่านั้นได้ เช่น แม้ชุมชนชาติพันธุ์จะอาศัยในที่ดินทำกินเหล่านั้นมาก่อน แต่พวกเขาต้องอยู่อย่างถูกกดทับด้วยกฎหมายหลายฉบับ เช่น พ.ร.บ. ป่าไม้ พ.ศ. 2484, พ.ร.บ. ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507, พ.ร.บ. อุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562, พ.ร.บ. สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562พชร ฉายภาพสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริงกับกลุ่มชาติพันธุ์ในหลายพื้นที่ อาทิ กลุ่มชาติลีซู บ้านริมหลวง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ ที่ถูกอุทยานแห่งชาติผาแดง ประกาศทับลงไปในพื้นที่บ้านและพื้นที่ทำกิน ถูกยึดพื้นที่ทำกินมากกว่า 100 แปลง และถูกเจ้าหน้าที่เข้าไปตัดฟันพืชผลที่ใกล้จะเก็บเกี่ยว อีกตัวอย่างคือ ชุมชนปกาเกอะญอ บ้านห้วยหินลาดใน จังหวัดเชียงราย เป็นชุมชนที่ได้รับรางวัลในการจัดการป่ามากมาย และเป็นพื้นที่คุ้มครองวัฒนธรรมแห่งแรกของไทยตาม มติ ครม. เมื่อปี 2553แต่เมื่อปี 2567 เจ้าหน้าที่ได้บุกรุกเข้าไปยังพื้นที่ทำกินของชาวบ้าน ทำลายข้าวของในพื้นที่ไร่หมุนเวียน ทำลายถังสำรองน้ำของชาวบ้าน และพื้นที่ประกอบพิธีกรรมทางจิตวิญญาณ จนถึงตอนนี้ ชาวบ้านก็ยังไม่ได้รับการเยียวยาอะไร อีกตัวอย่างคือ ชาวเลอูรักลาโว้ย หมู่เกาะหลีเปีะ จ.สตูล โดยชาวอูรักลาโว้ยในอดีตคือผู้ชี้เขตแดนว่า ผืนดินแห่งนี้เป็นของสยาม ไม่ใช่ของมาเลเซีย นั่นทำให้หมู่เกาะหลีเปีะถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของประเทศไทย แต่ว่าพี่น้องที่นี่กลับถูกอุทยานแห่งชาติตะรุเตาประกาศทับเขตที่ดินของชาวบ้าน โดยชาวบ้านโดนฟ้องคดีบุกรุกที่ดินอุทยาน และไม่สามารถทำมาหากินในพื้นที่ชายทะเลหรือหาปลาตามปกติ เพราะติดเงื่อนไขตาม พ.ร.บ. อุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 และถูกขู่ว่าจะดำเนินคดีหากใช้วิถีดั้งเดิมสุดท้ายคือบ้านบางกลอย อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี ถูกอุทยานแห่งชาติแก่งกระจานไล่รื้อ และถูกให้อพยพลงมาจากพื้นที่ทำกินดั้งเดิม รวมถึงถูกดำเนินคดีอาญารวม 28 คน ข้อหาบุกรุกพื้นที่อุทยานแห่งชาติ “นี่คือสิ่งที่เราเรียกว่าเป็นชะตากรรมของอภิสิทธิ์ชนหรือไม่ แบบนี้หรือที่ท่านยืนยันว่าคนเท่ากัน” พชร ตั้งคำถามกลับ พชร ยืนยันว่า นี่คือชะตากรรมที่เกิดขึ้นกับกลุ่มชาติพันธุ์ซึ่งเป็นคนไทยเหมือนกัน ต่างกันแค่พวกเขาไม่มีสิทธิ์ในที่ดินทำกินเท่าเทียมเหมือนคนที่อยุ่ในเมือง กฎหมายป่าไม้และที่ดินไม่ว่าจะออกมากี่ฉบับ ไม่เคยมีส่วนร่วมกับกลุ่มชาติพันธุ์ในพื้นที่ป่า ฉะนั้น หากยืนยันร่วมกันว่าชาติพันธุ์คือคนไทย ชาติพันธุ์ก็คือกลุ่มคนด้อยโอกาส ที่นายกรัฐมนตรีแถลงให้แนวนโยบายไว้เมื่อ 12 กันยายน 2567 ว่าพี่น้องกลุ่มชาติพันธุ์คือกลุ่มผู้ด้อยโอกาส ที่จำเป็นต้องได้รับการคุ้มครอง และเป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญเลาฟั้ง บัณฑิตเทอดสกุล หนึ่งในกรรมาธิการฯ ได้ชี้ประเด็นดังต่อไปนี้ หนึ่ง - เป้าหมายของกฎหมายฉบับนี้ คือต้องการคุ้มครองให้กลุ่มชาติพันธุ์มีสิทธิในการพัฒนาคุณภาพชีวิต ไม่ถูกแช่แข็งเอาไว้เช่นในอดีต ซึ่งการจะทำเช่นนั้นได้ ต้องเริ่มต้นจากการมีสิทธิในที่ดินทำกินและอยู่อาศัย สอง - มาตรา 27 เป็นการ overrule กฎหมายอื่น แต่สามารถทำได้ เพราะการ overrule กฎหมายอื่นๆ นั้นเกิดขึ้นมากมาย และสามารถทำได้หาก overrule กฎหมายในระดับเดียวกัน หรือโดยกฎหมายที่มีลำดับศักดิ์สูงกว่า สาม - พ.ร.บ.ฉบับนี้ ไม่ขัดต่อรัฐธรรมด้วย แต่เป็นกฎหมายที่ช่วยสร้างหรือเพิ่มโอกาสให้กลุ่มคนที่ด้อยโอกาส ได้มีสิทธิ์เข้าถึงบรรดากฎหมายที่มีอยุ่หรือเท่าเทียมกับคนอื่นๆ สี่ - การประกาศพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ จะไม่ทำให้พื้นที่ป่าลดลงแม้แต่ตารางนิ้วเดียว เพราะทุกวันนี้ พื้นที่ส่วนใหญ่ถูกสำรวจไว้หมดแล้วโดยกรมป่าไม้และกรมอุทยานฯ การออกกฎหมายมารับรองและคุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ จึงไม่ได้ทำให้พื้นที่ป่าลดลง แต่จะช่วยสร้างความชัดเจนระหว่างที่ของประชาชนและที่ของรัฐ หากประชาชนรุกที่ของรัฐ รัฐสามารถจับกุมดำเนินคดีตามกฎหมายได้เลย ‘ประชาสังคม’ ประกาศเสนอคว่ำร่างกฎหมาย เมื่อวานนี้ 4 ก.พ. 2568 ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (พีมูฟ) และสภาชนเผ่าพื้นเมืองแห่งประเทศไทย รวมถึงเครือข่ายกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ ได้ออกแถลงการณ์ ระบุว่า ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (พีมูฟ) และสภาชนเผ่าพื้นเมืองแห่งประเทศไทย รวมถึงเครือข่ายกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ เห็นถึงความสำคัญของการผลักดันให้มีพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ที่ต้องยกเว้นหลักเกณฑ์ของกฎหมายที่สร้างผลกระทบกับประชาชนในพื้นที่ อาทิ กฎหมายว่าด้วยอุทยานแห่งชาติ กฎหมายว่าด้วยเขตรักษาพันธุ์ป่าและเขตห้ามล่าสัตว์ป่า กฎหมายว่าด้วยป่าสงวนแห่งชาติ และกฎหมายว่าด้วยป่าไม้ เนื่องจากที่ผ่านมาพวกเรากลุ่มชาติพันธุ์ต้องอยู่ในที่ดินของรัฐอย่างผิดกฎหมาย แม้อยู่อาศัยและทำกินมาแต่เดิม แต่กลับถูกเขตที่ดินของรัฐประกาศทับแล้วแย่งสิทธิของเราไป ทำให้พี่น้องของเราต้องถูกจับกุม ดำเนินคดี ไล่ที่ ตัดฟันพืชผลอาสิน ยึดที่ดินทำกิน จนไปถึงการสังหารนักปกป้องสิทธิในที่ดินของกลุ่มชาติพันธุ์เราเห็นว่า การเขียนกฎหมายของคณะกรรมาธิการฯ เสียงข้างมากที่ยืนยันให้ยกเว้นหลักเกณฑ์ของกฎหมายมรดกเผด็จการอำนาจนิยมที่กระทำต่อพี่น้องเรานั้น คือความชอบธรรมที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรควรร่วมกันสนับสนุน สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ มาตรา 70 เป็นการสร้างความเสมอภาคเท่าเทียม และเราขอยืนยันว่านี่ไม่ใช่การเขียนกฎหมายเพื่ออภิสิทธิ์ชน แต่คือการคืนสิทธิความเป็นคนให้กลุ่มประชาชนที่ถูกรัฐไทยกดขี่จนไม่มีที่ยืนในสังคมไทยอย่างไรก็ตาม ขณะนี้ร่างกฎหมายในหมวดนี้กำลังถูกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคร่วมรัฐบาล โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทย คัดค้านและพยายามบิดเบือนว่าการประกาศพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์เป็นการให้สิทธิพิเศษ กล่าวหาว่าเป็นการเขียนกฎหมายที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ ให้อภิสิทธิ์ชนปล้นทรัพยากรชาติ จนอาจนำไปสู่เหตุแห่งการคว่ำกฎหมายในวันพรุ่งนี้ และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคร่วมรัฐบาล โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทย ที่ได้อภิปรายคัดค้านกฎหมายนี้ กำลังสร้างตราบาปต่อประชาชน และผลิตซ้ำอคติทางชาติพันธุ์ให้ดำเนินต่อไปในระบบรัฐราชการไทยและคนในสังคม ถือเป็นการกระทำที่ดูหมิ่น เหยียดหยาม ไร้ซึ่งสามัญสำนึก และไร้ซึ่งเมตตาจิตต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเราขอประกาศว่า กฎหมายฉบับนี้จะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าพรรคร่วมรัฐบาล โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทย เห็นถึงความเดือดร้อนและพร้อมจะแก้ปัญหากลุ่มชาติพันธุ์หรือไม่ หรือจะยังคงรวมหัวกับกลุ่มอิทธิพล ผู้กอบโกยผลประโยชน์ และหน่วยงานราชการไทยปล้นสิทธิของพี่น้องกลุ่มชาติพันธุ์ยิ่งกว่าทุกรัฐบาลที่ผ่านมา และหากพรุ่งนี้มีการคว่ำกฎหมายในหมวดว่าด้วยพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ เท่ากับหักหลังประชาชน ท่านจะต้องเผชิญกับการตรวจสอบ ทัดทาน คัดค้าน และสั่งสอนจากประชาชนในวิถีการเมืองตามระบอบประชาธิปไตยจนถึงที่สุดต่อมาวันที่ 5 ก.พ.2568 หลังมีมติคว่ำ มาตรา 27 ส่งผลให้ กมธ.พิจารณาร่าง กม.ชาติพันธุ์ สัดส่วนภาคประชาชนร่วมกับเครือข่ายชาติพันธุ์และชนเผ่าพื้นเมือง พร้อมด้วยกลุ่มพีมูฟ แถลงประณามและแสดงความผิดหวังหลังสภาฯ โหวตคว่ำ มาตรา 27 ไม่เห็นด้วยกับหลักการ “พื้นที่คุ้มครองชาติพันธุ์” ตามกรรมาธิการเสียงข้างมาก แต่เห็นด้วยกับกรรมาธิการเสียงข้างน้อย ที่ต้องไม่กระทบกับกฎหมายอื่น ทั้งได้แถลงยืนยันเสนอให้สภาฯ คว่ำร่างกฎหมายชาติพันธุ์ ในวาระ 3 โดยให้เหตุผลว่า หากสภาฯ ยืนตาม กมธ.เสียงข้างน้อย ไม่สามารถคุ้มครองส่งเสริมวิถีชีวิตชาติพันธุ์ตามเจตนารมณ์ได้ ก็เท่ากับว่าหัวใจของหลักการสำคัญได้ถูกตัดไปหมดแล้ว พร้อมมองว่า ประชาชน กลุ่มชาติพันธุ์ ได้ถูกย่ำยี โดยรัฐจะอ้างความชอบธรรม ผลิตซ้ำอคติ จึงขออย่าให้รัฐนำไปอ้างในเวทีโลกว่า ไทยมีกฎหมายชาติพันธุ์ เพราะหลักการของกฎหมายไม่สามารถคุ้มครองชาติพันธุ์ได้จริง ไม่เป็นไปตามที่นายกรัฐมนตรี แถลงนโยบายไว้ว่าจะดูแลผู้ด้อยโอกาส รวมถึงกลุ่มชาติพันธุ์ จึงขอให้นายกรัฐมนตรีชี้แจงเรื่องนี้ต่อสาธารณะด้วย