ข้อเรียกร้องของสส.พรรคประชาชนที่จุดชนวนจนเกิดกระแสกดดันให้รัฐบาลตัดการจ่ายไฟฟ้าไปยังชายแดนเมียนมาอันเป็นที่ตั้งของกลุ่มสแกมเมอร์ และ ขบวนการหลอกหลวงทางออนไลน์ อาจจะสร้างปัญหาตามมาหลายด้าน โดยเฉพาะการค้าชายแดนที่ประเทศไทย และคนไทย ได้รับประโยชน์อยู่ปีละเป็นแสนล้านบาท 

ที่สำคัญ ไม่ใช่เรื่องง่ายที่ใครจะสามารถจัดการกับปัญหานี้ได้ โดยเฉพาะเมื่อมีประเทศมหาอำนาจอยู่เบื้องหลังทางการเมืองของประเทศที่ถูกระบุว่า เป็นแหล่งอาชญากรรมทางไซเบอร์ และแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่เล่นงานคนบริสุทธิ์ทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็น เมียนมา กัมพูชา หรือ ลาว ต่างก็ล้วนแต่มีประเทศมหาอำนาจอย่าง สหรัฐอเมริกา รัสเซีย และจีน หนุนหลังอยู่ทั้งส้ิน

จริงๆ ปัญหาภัยไซเบอร์ ไม่ว่าจะเป็นสแกมเมอร์ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ หรือ การหลอกลวงทางออนไลน์ เป็นเรื่องที่รัฐบาลไทย พยายามหาทางแก้ไขมานาน แต่ก็ยังมีคนจำนวนหนึ่งพยายามปัดความรับผิดชอบให้พ้นตัว 

กระทั่ง ประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกฯ และ รมว.กระทรวงดีอี ต้องขออนุมัติคณะรัฐมนตรีออกพระราชกำหนดจัดการกับภัยไซเบอร์ด้วยการบังคับให้แบงค์พาณิชย์ สถาบันการเงิน และค่ายมือถือต่างๆ ต้องร่วมกันรับผิดชอบกับความสูญเสียของประชาชนจากการปล่อยปละละเลยให้มีการขาย “ซิมม้า” และ เปิด “บัญชีม้า” เพื่อใช้เป็นทางผ่านเงินที่หลอกลวงประชาชนไป

การร่วมมือกันของกระทรวงดีอี สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานป้องกัน และปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) สมาคมธนาคารไทย และหน่วยงานเกี่ยวข้อง สามารถระงับบัญชีม้า และตัดเส้นทางการเงินของกลุ่มมิจฉาชีพ รวมถึงแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในปี 67 ไปได้เป็นจำนวนกว่า 1.66 ล้านบัญชี ในจำนวนนี้ สถาบันการเงิน สั่งระงับบัญชีไป 581,637 บัญชี ขณะที่ ปปง.รวบ 630,537 บัญชีตรวจสอบ โดยตั้งแต่เดือน ม.ค.- ธ.ค.67 จับกุมผู้เปิดบัญชีม้าแล้ว 2,500 ราย 

...

“คิกออฟ” สกัดภัยไซเบอร์ ซิม + บัญชี ต้องตรงกัน 

พระราชกำหนดฉบับนี้จึงต้องเร่งคิกออฟตั้งแต่วันที่ 1 ก.พ.68 เป็นต้นไปเพื่อสกัดบัญชีม้า และตัดตอนโจรออนไลน์ที่มีรายงานระบุว่า เพียงเดือนเดียวมีแก๊งสแกมเมอร์ เพิ่มขึ้นถึง 2 ล้านบัญชี 

จากนี้ไป ถ้าเจ้าของซิม และ Mobile Banking ไม่ตรงกัน หากได้รับแจ้งแล้วไม่ไปแก้ไขให้เสร็จภายในเดือนส้ินเดือน เม.ย.68 ปปง. ธปท.และ กสทช.จะเข้าดำเนินการ และหากพบมีการยินยอมให้ผู้อื่นใช้บัญชีเงินฝาก หรือ เปิดบัญชีม้า ต้องถูกดำเนินคดีโดยมีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 300,000 บาท กฏหมายยังเปิดช่องให้ผู้เสียหายฟ้องร้องทางแพ่งกับแบงค์และค่ายมือถือได้ด้วย

กลับมาดูอุปสรรคที่ทำให้การแก้ปัญหาภัยไซเบอร์ยากลำบากกว่าที่คิดโดยเฉพาะจากปัญหาชายแดนไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน 

เฉพาะประเทศเมียนมา ซึ่งมีชายแดนติดต่อกับไทยระยะทางถึง 2,401 กม. มีจังหวัดชายแดนติดต่อกัน 12 จังหวัด และมีเส้นทางธรรมชาติที่สามารถเข้า/ออกกันได้มากถึง 37 เส้นทาง โดยทุกเส้นทางได้รับการรับรองจากสองฝั่งอย่างเป็นทางการ

ตามบันทึกเขตการปกครองเมียนมา หรือ พม่า มีลำดับชั้นเขตปกครอง 7 รัฐ 7 ภาค และ 1 ดินแดนสหภาพ ซึ่งในบางรัฐ และบางภาคมีพื้นที่ปกครองตนเองและเขตปกครองของกลุ่มชาติพันธ์ุ เมียนมา จึงจัดเป็นประเทศที่มีความหลากหลายของกลุ่มชาติพันธ์ุในอันดับต้นๆ ของโลก การปกครองประเทศให้ดำเนินไปอย่างราบรื่น เป็นประเทศที่มีการพัฒนาในด้านต่างๆ จึงเป็นเรื่องยาก 

ชาติพันธ์ุเมียนมามี 135 กลุ่ม กองกำลังติดอาวุธอีก 25 กลุ่ม ไทยอาจเป็น “ตำบลกระสุนตก”

เนื่องจากมีกลุ่มชาติพันธุ์กว่า 135 กลุ่ม ในจำนวนนี้เป็นกลุ่มชาติพันธ์ุที่มีกองกำลังติดอาวุธของตนเอง 25 กลุ่ม

กลุ่มชาติพันธุ์ที่ได้ยินกันบ่อยๆ นอกจากจะมี คะฉิ่น กะเหรี่ยง ม้ง มอญ มูเซอ ไทใหญ่ ไทลื้อ โกก้าง ว้า รัฐฉาน เล่าก์ก่าย เย้า ยะไข่ โรฮิงญา และอาข่าแล้ว ยังมีพม่าเชื้อสายจีน เชื้อสายมลายู เชื้อสายอินเดีย และเชื้อสายไทย รวมอยู่ด้วย

ในกลุ่มชาติพันธ์ุที่มีกองกำลังติดอาวุธ มักจะทำสงครามแบ่งแยกแผ่นดินกันอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นกองทัพชนชาติ SNA ในเขตสะกาย, แนวร่วมแห่งชาติชิน CNF, กองทัพปลดปล่อยโรฮิงญาแห่งอาระกัน ARSA ALA  และ AA , กองทัพเอกราชคะฉิ่น KIA ร่วมกับกองทัพชนชาติ SNA 

ในขณะที่รัฐฉานมีกองทัพปลดปล่อยอีก 8 กองทัพที่ปฏิบัติการอย่างเปิดเผยในการโจมตีกองทัพเมียนมาหลายจุด และหลายพื้นที่เช่นกลุ่ม BGF MNDAA TN LA ฯลฯ คล้ายๆ กันกับกองทัพรัฐคะยา รัฐกะเหรี่ยง และรัฐมอญ 

เป็นเวลาราว 1 ปีมาแล้วที่สงครามกลางเมืองในเมียนมาระอุขึ้นครั้งใหญ่ในรอบหลายปี โดยที่ยังไม่มีท่าทีจะยุติลงง่ายๆ กองกำลังติดอาวุธ ไม่ว่าจะเป็นว้าแดง กะเหรี่ยง เป็นต้น ยังไม่มีกลุ่มใดยอมวางอาวุธ และยังคงตั้งหน้าตั้งตาสู้รบกับผู้ปกครองที่เรียกตัวเองว่า รัฐบาลทหารเมียนมา ภายใต้การนำของ นายพลมิน อ่อง ลาย กับการหนุนหลังของมหาอำนาจอย่างจีนซึ่งมีชายแดนติดกับเมียนมา...ความหวังในการเจรจาหยุดยิงเพื่อให้เกิดสันติภาพขึ้นในเมียนมาอีกครั้ง จึงยังห่างไกล

ที่สำคัญสำหรับประเทศไทยก็คือ ไมใช่แค่การค้าขายแนวชายแดนตลอด 2,400 กม. จะได้รับผลกระทบ แต่ยังมีการอพยพของผู้คนจำนวนมากที่หลบภัยจากการสู้รบหลั่งไหลกันเข้ามา 

ไม่เท่านั้น กองกำลังของชาติพันธุ์ซึ่งได้ยึดพื้นที่ชายแดนเขตติดต่อกับประเทศไทยไว้เป็นจำนวนมากยังฉวยโอกาสจัดตั้งขบวนการค้ามนุษย์ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ หรือ แก๊งต้มตุ๋นออนไลน์ ยาเสพติด และธุรกิจสีดำ สีเทา ที่กลายเป็นมหันตภัยอย่างใหญ่หลวงแก่ประเทศไทย และประเทศทั่วโลก

พิจารณาดูข้อมูลต่างๆ เหล่านี้แล้ว จะเห็นว่าการตั้งคำถามว่า จะตัดไฟฟ้าเข้าพื้นที่นี้เมื่อไหร่ หรือ กี่โมง? คงไม่มีใครตอบได้!

เพราะไม่มีหัวหน้าหน่วยงานใดในประเทศไทย กล้าพอจะออกคำสั่งให้มีการตัดไฟฟ้าในพื้นที่ที่หลายคนเรียกว่า เมืองบาป ในฝั่งเมียนมานี้แน่นอน ปัญหาคือ ตัดไฟแล้ว ไทยจะกลายเป็น “ตำบลกระสุนตก” หรือไม่?

หาผู้มีบารมีกวาดล้างเมืองบาป ดัน “ทักษิณ - อาเซี่ยน” ร่วมแก้

จะว่าไป การที่ รองนายกฯ และรมว.มหาดไทย อนุทิน ชาญวีรกูล ตอบว่า เขาเป็นรมว.มหาดไทย ไม่ใช่ รมว.มหาดเมียนมา ก็ถูกของเขา เพราะแม้แต่ อดีตนายกฯเศรษฐา ทวีสิน ยังยอมรับว่า ตัวเขาก็ไม่มีบารมีพอจะคุยกับรัฐบาลทหารของเมียนมาได้

อดีตนายกฯเศรษฐา ยังให้ข้อมูลด้วยว่า รัฐบาลกัมพูชา มาเลเซีย และเวียดนาม ต่างก็พร้อมจะช่วยกันกวาดล้างขบวนการค้ามนุษย์ และ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่สร้างผลกระทบต่อคนในประเทศของเขาแล้ว 

แต่เอาจริงๆ ทุกประเทศจำเป็นต้องใช้ “อาเซียน” เป็นเครื่องมือเพื่อรวมตัวกันไปเจรจากับมหาอำนาจที่อยู่เบื้องหลัง

คนที่อาเซียนเห็นว่า น่าจะเป็นผู้มีบารมีอีกคนก็คือ อดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร ในฐานะที่ปรึกษาของประธานอาเซียน อันวาร์ อิบราฮิม นายกฯมาเลเซีย 

เป็นอันว่า การตัดไฟฟ้าเข้าไปในเมืองบาปของเมียนมา ทำไม่ได้ง่ายๆ อย่างที่มีผู้นำเสนอ สำคัญคือ ถ้าตัดไฟได้ จะตัดน้ำ ตัดน้ำมัน ก๊าซ การค้าขายอื่นๆ ตลอดแนวชาวแดนไทย-เมียนมาตามมาด้วยหรือไม่? แล้วใครจะรับผลที่ตามหลังมา

ถึงตรงนี้ คำตอบของการแก้ปัญหานี้คือ จัดการปัญหาภายในประเทศไทยให้เด็ดขาด ส่วนเรื่องนอกประเทศ ต้องใช้วิธี “รวมกัน เราอยู่” น่าจะถูกต้องที่สุด