หลังจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ผ่านร่างพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ฉบับที่ ...) พ.ศ. ...ฉบับใหม่ เมื่อวันที่ 28 ม.ค.ที่ผ่านมา
เราก็ได้เห็นแอ็กชันที่เพิ่มขึ้นทันทีจากทั้งแบงก์ชาติ และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เพื่อยกระดับการป้องกันอาชญากรรมออนไลน์ ที่สร้างความเสียหายให้กับคนไทยนับแสนล้านบาท
โดยในฝั่งแบงก์ชาตินั้น เราได้เห็นการยกระดับมาตรฐานในการหาตัว “บัญชีม้า” ของสถาบันการเงิน โดยจากเดิมที่มีม้าดำ ซึ่งเป็นบัญชีที่อยู่ในฐานข้อมูลแบล็กลิสต์ของสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และม้าเทาเข้ม หรือบัญชีที่ถูกผู้เสียหายแจ้งความว่าเป็นบัญชีม้าแล้ว ยังเพิ่มม้าเทาอ่อน คือ มีผู้เสียหายร้องมายังสถาบันการเงินให้อายัดบัญชี แต่ยังไม่มีการแจ้งความ ม้าน้ำตาลเข้ม ซึ่งเป็นบัญชีที่ธนาคารตรวจสอบพฤติกรรมหลายอย่างรวมกันแล้วเห็นว่าน่าจะเข้าข่ายเป็นบัญชีม้าแน่นอน และม้าน้ำตาลอ่อน ซึ่งเป็นบัญชีมีพฤติกรรมต้องสงสัย
ซึ่งในส่วนของม้าดำและม้าเทา ตั้งแต่วันที่ 1 ก.พ.ที่ผ่านมา จะถูกระงับการโอนเงินเข้าบัญชีในทุกกรณี เพิ่มเติมจากการห้ามนำเงินออกจากบัญชี ซึ่งเท่ากับเป็นการฟรีซบัญชีถาวร และห้ามไม่ให้เปิดบัญชีใหม่ ส่วนม้าเทาเข้ม และม้าน้ำตาลนั้นหากยังมีพฤติกรรมต้องสงสัยเช่นเดิม ไม่มีการมาติดต่อธนาคารเพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ ก็จะถูกฟรีซบัญชีแบบเดียวกันภายในเดือน มี.ค.นี้ เพื่อปิดหนทางที่มิจฉาชีพใช้บัญชีเหล่านี้เป็น “บัญชีม้า” ได้อีก
ขณะที่บัญชี “ม้าน้ำตาลอ่อน” ซึ่งเป็นบัญชีที่มีพฤติกรรมเข้าข่ายการเป็นบัญชีม้าทางสถาบันการเงินจะขอให้เจ้าของบัญชีมาแสดงตัวตน และยืนยันว่าไม่เกี่ยวข้องไม่ได้เป็น “บัญชีม้า” ไม่เกี่ยวกับกลุ่มมิจฉาชีพที่สาขาของธนาคารพาณิชย์ เพราะส่วนใหญ่บัญชีเหล่านี้จะเป็นบัญชีที่เปิดแบบออนไลน์ โดยในระหว่างนี้อาจจะมีการหน่วงธุรกรรมการโอนเงินของบัญชีเหล่านี้ให้ช้าลง หรือจำกัดวงเงิน และจำนวนครั้งในการทำธุรกรรมแต่ละวันด้วย
...
ขณะที่ในส่วนของมาตรการจากกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (DE) คือ การตรวจสอบรายชื่อเจ้าของหมายเลขโทรศัพท์มือถือ และเจ้าของบัญชีธนาคาร Mobile Banking ว่าตรงกันหรือไม่ ซึ่งในขณะนี้พบว่า ชื่อเจ้าของซิม และ Mobile Banking ไม่ตรงกัน 30.9 ล้านหมายเลข และลูกค้าที่ไม่พบชื่อเจ้าของซิม/ไม่มีข้อมูลอีก 13.5 ล้านหมายเลข
ซึ่งตั้งแต่วันที่ 1 ก.พ.ที่ผ่านมา ธนาคารจะดำเนินการแจ้งประชาชน ทั้งสองกลุ่มดังกล่าวผ่านช่องทาง Mobile Banking ของแต่ละธนาคาร ให้ประชาชนที่ได้รับแจ้งไปอัปเดตข้อมูลชื่อเจ้าของซิม และชื่อผู้ใช้งาน Mobile Banking ให้ตรงกัน ภายในเวลา 90 วัน ก่อนที่จะใช้งานไม่ได้
ทำให้จาก “ปฏิบัติการก้างขวางคอ” มิจฉาชีพ อาจจะมีประชาชนที่ต้องมายืนยันตัวตนที่ธนาคาร หรือกับผู้ให้บริการด้านโทรคมนาคมเพิ่มขึ้น แต่ถ้าไม่อยากรำคาญหรือโกรธเคือง ให้ถือว่า “นอกจากการช่วยให้ตัวเองพ้นเป็นผู้ต้องสงสัยแล้ว ยังช่วยให้คนไทยอีกจำนวนมากไม่ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพอีกด้วย” เพราะหากเรายอมปล่อยให้กระบวนการมิจฉาชีพนี้เติบโตต่อไป เราเองก็อาจจะกลายเป็นเหยื่อได้ไม่วันใดก็วันหนึ่ง.
มิสเตอร์พี
คลิกอ่านคอลัมน์ “กระจก 8 หน้า” เพิ่มเติม