หัวหน้าพรรคประชาชน ขอโทษประชาชน ได้เก้าอี้ อบจ.แค่ที่ลำพูน รับเสียดายโอกาส ที่เชียงใหม่ นครนายก สมุทรปราการ ตราด และสมุทรสงคราม แพ้แค่ 10% โต้ “ทักษิณ” แดงกินส้มแค่วลี ด้าน เลขาพรรค จ่อยื่น กกต. สอบผลเลือกตั้ง 2 จังหวัด หลังพบบัตรเสียพุ่ง
วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2568 เมื่อเวลา 15.00 น. ที่อาคารอนาคตใหม่ นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน พร้อมด้วยนายศรายุทธิ์ ใจหลัก เลขาธิการพรรคประชาชน และนายวีระเดช ภู่พิสิฐ ว่าที่นายก อบจ.ลำพูน แถลงข่าวต่อสื่อมวลชน
นายณัฐพงษ์ กล่าวขอโทษต่อประชาชนที่พรรคอาจจะรณรงค์การออกมาใช้สิทธิ์เลือกตั้งในระดับท้องถิ่นหรืออบจ.ยังไม่เข้มแข็งพอ ทำให้ได้เก้าอี้นายกอบจ.ไม่มากพอ พร้อมขอบคุณชาวลำพูนที่ออกมาใช้สิทธิ์เลือกตั้ง โดยพบว่าเป็นจังหวัดที่ออกมาใช้สิทธิ์เลือกตั้งเป็นอันดับ 1 จาก 47 จังหวัด ซึ่งเป็นที่มาทำให้พรรคประชาชนได้เก้าอี้มาครอง ทั้งนี้ยอมรับว่าเสียดายโอกาสในหลายจังหวัดที่พรรคประชาชนไม่สามารถคว้าชัยชนะได้ พร้อมเชื่อว่าหากพรรคประชาชนมีการรณรงค์ให้ประชาชนออกมาใช้สิทธิ์มากขึ้นก็จะสามารถคว้าเก้าอี้นายกอบจ.มาครองได้เช่นเดียวกัน เช่น จังหวัดเชียงใหม่ นครนายก สมุทรปราการ ตราด และสมุทรสงคราม ที่ไม่สามารถจะเฉือนชนะการเลือกตั้งได้ และแพ้ในลำดับที่ 1 เพียงแค่ไม่ถึง 10% เท่านั้น

...
นายณัฐพงษ์ กล่าวอีกว่าหากดูผลการเลือกตั้งทางพรรคประชาชนได้เก้าอี้ ส.อบจ. 132 ที่นั่ง แบ่งเป็นในจังหวัดที่พรรคส่งนายก อบจ. จำนวน 80 คน และไม่ได้ส่งในจังหวัดดังกล่าวจำนวน 52 คน โดยเชียงใหม่และลำพูนได้เก้าอี้ถึง 15 ที่นั่ง ส่วนอุดรธานีได้เก้าอี้ถึง 13 ที่นั่ง โดยจากนี้จะทำหน้าที่ตรวจสอบงบประมาณอย่างแข็งขันและผลักดันการบรรจุงบประมาณโครงการต่างๆ เพื่อแก้ปัญหาให้กับประชาชนในพื้นที่
ส่วนในจังหวัดลำพูน ทางพรรคจะผลักดันเรื่องนโยบาย รพ.สต. เพื่อลดความแออัดของโรงพยาบาลศูนย์ ปัญหาถนน ไฟส่องสว่าง รวมถึงการจัดการขยะ ที่จะมีการจัดทำงบประมาณเพิ่มเติมในกลางปีนี้ โดยเดือนกุมภาพันธ์ ถึงเดือนพฤษภาคมนี้จะมีการลงพื้นที่เพื่อนำนโยบายที่หาเสียงไว้ทำพื้นที่ให้กับประชาชนต่อไป

ด้านนายวีระเดช ได้กล่าวขอบคุณประชาชนชาวลำพูนออกมาใช้สิทธิ์เป็นอันดับ 1 และขอบคุณที่ช่วยให้จังหวัดลำพูนตื่นตัวทางการเมือง โดยต่อจากนี้หากคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต.รับรองแล้วจะขอทำงานใกล้ชิดประชาชนตามแนวนโยบาย 3 ป. คือโปร่งใส ประสิทธิภาพ ทำงานใกล้ชิดประชาชน
ขณะที่นายศรายุทธิ์ ใจหลัก เลขาธิการพรรคประชาชน กล่าวว่า การเลือกตั้งในวันเสาร์ ทางพรรคเช็กข้อมูลแล้ว แต่ยังได้ไม่ครบ มีข้อมูลที่น่าสนใจ พบว่าคนมาใช้สิทธิ์ลดลง จาก 62.8% เหลือแค่ 55% คนไม่มาใช้สิทธิ์ 7-8% หรือประมาณ 2 ล้านกว่าคน ที่น่าจะมีผลมาจากการเลือกตั้งวันเสาร์ พบว่าคนมาใช้สิทธิ์น้อย เช่น จังหวัดจันทบุรี ภูเก็ต นนทบุรี สมุทรปราการ สุราษฎร์ธานี ชลบุรี ระยอง ซึ่งยอมรับว่าส่งผลต่อการเลือกตั้ง จึงขอให้ กกต. ทบทวนการเลือกตั้งวันเสาร์ว่าอำนวยความสะดวกให้ประชาชนหรือไม่ และมองว่าการเลือกตั้งวันเสาร์ไม่ตอบโจทย์ให้ประชาชนมาใช้สิทธิ์ ทั้งนี้ ทางพรรคมีความสงสัย 2 จังหวัด ที่ทางกองเลือกตั้งของพรรคต้องติดตาม คือ เชียงใหม่ สมุทรปราการ ที่พบว่ามีบัตรเสียจำนวนมาก ที่มีผลต่อการเลือกตั้ง โดยตอนบ่ายนี้จะไปยื่นเรื่องต่อ กกต. ว่าข้อมูลนั้นถูกต้องตามที่มีการเปิดเผยออกมาหรือไม่

เมื่อถามว่าที่จังหวัดลำพูนชนะ เพราะมีคนที่มาใช้สิทธิ์ค่อนข้างเยอะ จึงกลายเป็นการตอกย้ำว่าพรรคประชาชนแพ้ตั้งแต่เริ่มแข่ง เพราะมีข้อเสียเปรียบเยอะใช่หรือไม่ นายณัฐพงษ์ ระบุว่า ไม่อยากให้โทษว่าเป็นประเด็นใดประเด็นหนึ่ง อย่างการแถลงตั้งแต่ครั้งแรก เรายืนยันว่า จำนวนของคนที่ออกมาแสดงพลังจะเป็นประโยชน์ที่สุดต่อการเลือกตั้ง แต่ขณะเดียวกัน เราเองอาจจะยังรณรงค์ไม่แข็งขันมากเพียงพอ ที่จะทำให้ประชาชนออกมาใช้สิทธิ์น้อยกว่าการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา แต่อย่างไรก็ตาม การจัดการเลือกตั้งให้มีความโปร่งใส ยุติธรรม และประชาชนสะดวกในการออกมาใช้สิทธิ์มากที่สุด ก็เป็นหน้าที่ของ กกต. และหากความผิดปกติ ก็จะดำเนินการต่อไป
ส่วนการเปิดหลักฐานเพิ่มเติม หากว่าพบว่ามีความผิดปกตินั้น จะมีการร้องเพิ่มเติมหรือไม่ นายณัฐพงษ์ ระบุว่า มีการยื่นเรื่องเข้ามาแล้วประมาณ 30 เรื่อง และมีการส่งให้ผู้สมัครไปยื่นเรื่องต่อแล้ว และตอนนี้มีเรื่องแจ้งเข้ามาเรื่อย ๆ โดยกำลังตรวจสอบ อยู่ระหว่างการดำเนินการ และเรื่องหลัก ๆ เป็นกระบวนการการเลือกตั้ง อย่างในจังหวัดสมุทรปราการ ผู้มาใช้สิทธิ์ลดลง ถือว่าเป็นกรณีที่ผิดปกติ และขอให้รอติดตามดูต่อไป
เมื่อถามว่าก่อนหน้านี้พรรคประชาชนตั้งเป้าจะได้ 4 หัวเมือง แต่ตอนนี้ได้เพียง 1 จังหวัด ถือว่าไม่ประสบความสำเร็จใช่หรือไม่ นายณัฐพงษ์ ระบุว่า ตนเองไม่เชื่อว่าเป็นอย่างนั้น กรณีตัวอย่างของอบจ. จังหวัดลำพูน จะเห็นว่า ทันทีที่เราทราบผลการเลือกตั้งอย่างชัดเจน เราพร้อมที่จะลงมือทำงานทันที ไม่ต้องรอให้นายวีระเดช ได้รับรับรองตำแหน่ง เราพร้อมที่จะส่งทีมงานไปทำงานในพื้นที่ทั้ง 8 อำเภอ ในจังหวัดลำพูน และก่อนถึงเดือนพฤษภาคมที่จะเป็นฤดูกาลที่ทางนายกฯ จะต้องเสนอร่างงบประมาณประจำปี 69 ตอนนั้นเราจะมีข้อเสนอที่เป็นรูปธรรม และปัญหาต่าง ๆ ในพื้นที่จังหวัดลำพูน ส่วนไหนที่เราสามารถบรรจุได้ในงบเพิ่มเติมกลางปี 68 ส่วนไหนที่เราบรรจุในงบประมาณปี 69 เราก็พร้อมให้ประชาชนทุกคนเข้ามามีส่วนร่วมในการตรวจสอบการทำงานของเรา
เมื่อถามว่าการชนะในพื้นที่จังหวัดลำพูน เพียงจังหวัดเดียว จะเป็นการเพิ่มความกดดันให้กับผู้สมัครหรือไม่ว่าครั้งต่อไป นายวีระเดช กล่าวว่า ไม่ได้กดดัน จริง ๆ แล้วเราทำนโยบายมาก่อนแล้วว่า 4 ปีภายใต้กรอบงบประมาณ เราจะทำอะไรได้บ้าง มันตั้งอยู่บนความเป็นไปได้ ซึ่งถือว่าไม่กดดัน และทำได้อย่างแน่นอน
เมื่อถามว่ากรณีที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ปราศรัยบนเวทีว่า “แดงกินส้ม” ผลการเลือกตั้งตอนนี้สะท้อนตามวลีที่นายทักษิณพูดหรือไม่ นายณัฐพงษ์ ระบุว่า จริง ๆ ตนเองคิดว่าแล้วแต่การตีความ ว่าการกินส้มหมายถึงยังไง เพราะส้มเองก็เป็นผลไม้มงคล และที่จังหวัดลำพูนเอง ก็เป็นสนามหลักที่ตนเองคิดว่าเราจะสามารถพิสูจน์ฝีมือให้ทุกคนเห็น และการทำงานการเมืองที่มีคุณภาพ ทำงานอย่างโปร่งใส ตรงไปตรงมา นำเสนอนโยบายให้กับพ่อแม่พี่น้องประชาชนเห็นได้ น่าจะเป็นสิ่งสำคัญมากกว่าการที่เราโยนวลีใส่กันไปมา และใส่สื่อมวลชนผ่านหน้าสื่อ
ส่วนการที่นายทักษิณ ลงพื้นที่หาเสียง ก็ไม่ได้ชนะทุกเวที ถ้ามองในการเมืองภาพใหญ่นายทักษิณยังถือว่ามีมนต์ขลังหรือไม่ในการเลือกตั้ง นายณัฐพงษ์ ระบุว่า หากภาพรวมการเลือกตั้งทั้งประเทศ ต้องบอกว่าสัดส่วนที่ได้มากสุด คือผู้สมัครที่ประกาศลงในนามอิสระ ไม่สังกัดพรรคการเมืองใดโดยตรง แต่เราก็จะรู้ตามหน้าสื่อมวลชนอยู่แล้ว ว่าผู้สมัครใดที่สังกัดพรรคการเมืองใดในเบื้องหลัง เพราะฉะนั้น ในมุมหนึ่งตนเองคิดว่าสิ่งที่ตอนนี้เราเห็นเรื่องการไม่เต็มที่กับการกระจายอำนาจของพรรคเพื่อไทย ที่เป็นพรรคแกนนำของรัฐบาล อาจจะเกิดขึ้นได้จากการแข่งขันในสนามการเมืองท้องถิ่นหรือไม่ ในระหว่างพรรครัฐบาลด้วยกันหรือไม่ ซึ่งก็เป็นสิ่งที่เราจะต้องช่วยกันตั้งคำถามต่อไป
