สนามเลือกตั้ง อบจ. ปีนี้ แม้จะไม่คึกคักเท่าครั้งก่อนเพราะเหล่านายกฯ อบจ. คนเก่า ต่างก็ใช้แท็กติกชิงลาออกเพื่อหลบเลี่ยงกติกาประหลาด ทำให้หลายจังหวัดต้องจัดเลือกตั้งซ่อมล่วงหน้า และเหลือเพียง 47 จังหวัดเท่านั้นที่จัดเลือกตั้งพร้อมกันทั่วประเทศในวันที่ 1 ก.พ. 2568
ทว่าสิ่งที่ดูจะต่างออกไปจากการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว นั่นคือ บรรดาคนดังระชาติต่างก็ลงมาเป็น ‘ผู้ช่วยหาเสียง’ และเดินหน้ากลยุทธ์ปราศรัยเพื่อครองใจมวลชนกันอย่างเข้มข้น จึงทำให้สนามเลือกตั้งท้องถิ่นครั้งนี้ สะท้อนปรากฏการณ์ทางการเมืองระดับชาติ และการช่วงชิงความได้เปรียบทางการเมือง ตลอดจนความพยายามในการสร้างฐานมวลชนระดับจังหวัด เพื่อสะสมพลังสู้ศึกเลือกตั้งใหญ่ในปี 2570 ชิงเก้าอี้นายกรัฐมนตรีคนที่ 32 นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมทุกพรรคการเมืองจึงงัดทุกกระบวนท่าหาเสียงมาใช้ และทุ่มสรรพกำลังกันอย่างไม่มีกั๊กกันเลยทีเดียว
เลือกตั้ง อบจ. สำคัญกับคนไทยแค่ไหน
อบจ. ย่อมาจาก องค์การบริหารส่วนจังหวัด เป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศ ตั้งอยู่ 76 จังหวัด จังหวัดละ 1 แห่ง (ยกเว้นกรุงเทพมหานคร ที่เป็นหน่วยการปกครองพิเศษ)
หน้าที่และอำนาจของ อบจ. ครอบคลุมอยู่ 10 เรื่องหลักๆ ด้วยกัน คือ รักษาความปลอดภัย, การศึกษา, สาธารณสุข, สังคมสงเคราะห์, เคหะและชุมชน, สร้างความเข้มแข็งของชุมชน, ศาสนา วัฒนธรรม และนันทนาการ, อุตสาหกรรมและการโยธา, การเกษตร, การพาณิชย์
ด้วยความที่ อบจ. มีอำนาจและหน้าที่หลายด้าน และสามารถกำหนดทิศทางการพัฒนาของจังหวัดได้ โดยเฉพาะด้านโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ และการพัฒนาระบบบริการสาธารณะของประชาชน อีกทั้งยังได้รับการจัดสรรงบประมาณมากที่สุดในจังหวัด (มากกว่า อบต. หรือเทศบาล) อบจ. จึงมีความสำคัญอย่างมากในการพัฒนาพื้นที่เพื่อให้ประชาชนมีชีวิตที่ดีในทุกๆ ด้าน
...
เลือกตั้ง อบจ. จึงเป็นสนามการเมืองท้องถิ่นที่แข่งขันกันอย่างดุเดือดชนิดที่ถึงเลือดถึงชีวิตกันมาหลายครั้งหลายคราว จากข้อมูลสถิติ ช่วงปี 2543-2562 โดย ณัฐกร วิทิตานนท์ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พบว่า มี นายก อบจ. ถูกยิงเสียชีวิตขณะดำรงตำแหน่งมาแล้ว 8 คน และหากรวม ส.อบจ (สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด) เข้ากับผู้รับสมัครเลือกตั้งด้วย ก็มากกว่า 50 ราย
ทำไมเลือกตั้ง 1 ก.พ. 68 เหลือแค่ 47 จังหวัด
พ.ร.บ. องค์การบริหารส่วนจังหวัด กำหนดให้ นายก อบจ. มาจากการเลือกตั้งของประชาชน วาระดำรงตำแหน่ง 4 ปี และหากลาออกก็จะต้องจัดเลือกตั้งใหม่ภายใน 60 วัน แต่หากดำรงตำแหน่งครบวาระแล้ว ต้องจัดการเลือกตั้งใหม่ภายใน 45 วัน (เริ่มนับระยะเวลาในการดำรงตำแหน่งนับแต่วันเลือกตั้ง)
สำหรับการเลือกตั้ง อบจ. ครั้งก่อน จัดขึ้นเมื่อวันที่ 20 ธ.ค. 2563 และจะครบวาระการดำรงตำแหน่งในวันที่ 19 ธันวาคม 2567 ซึ่งตามกฎหมาย จะต้องจัดเลือกตั้งใหม่ในวันที่ 1 ก.พ. 2568 นี้
ทว่าระหว่างการดำรงตำแหน่ง มีนายก อบจ. ลาออกและถูกให้ออก 29 จังหวัด จึงจัดการเลือกตั้งใหม่ไปก่อนหน้านี้แล้ว แบ่งออก
- เลือกตั้งใหม่ตามคำวินิจฉัยของศาล-มติ กกต. 3 จังหวัด
- เลือกตั้งใหม่จากกรณี นายก อบจ. ลาออกก่อนครบวาระ 26 จังหวัด
ทั้งนี้ 29 จังหวัดดังกล่าว ได้จัดการเลือกตั้ง นายก อบจ. ไปก่อนแล้ว พบว่า อดีตนายก อบจ. ที่ลาออกหรือถูกให้ออกไปนั้น ได้กลับมาลงสมัครเลือกตั้งนายก อบจ. อีกครั้ง 21 จังหวัด และได้กลับเข้ามาเป็น นายก อบจ. 12 จังหวัด
อย่างไรก็ดี มีอีก 8 จังหวัดที่นายก อบจ. ลาออกก่อนครับวาระเช่นเดียวกัน (เชียงใหม่ นครพนม นครราชสีมา บึงกาฬ บุรีรัมย์ มหาสารคาม ระยอง และลำปาง) แต่เนื่องจากนายก อบจ. กลุ่มนี้ ลาออกก่อนครบวาระเพียงไม่กี่วัน จึงสามารถจัดการเลือกตั้งใหม่พร้อมกับการเลือกตั้งใหญ่ได้ ตามกรอบระยะเวลาของกฎหมาย
เท่ากับว่าในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 จะมีการเลือกตั้งนายก อบจ. เพียง 47 จังหวัด และ ส.อบจ. 76 จังหวัดทั่วประเทศ
เพื่อไทย VS ประชาชน
“ท่านคิดว่าในการเลือกตั้งท้องถิ่น พรรคใดมีสิทธิ์ชนะมากที่สุด?”
ผลสำรวจความคิดเห็นเรื่องการเลือกตั้ง อบจ. 2568 โดยนอร์ทกรุงเทพโพล (เก็บสำรวจวันที่ 13-19 ม.ค. 2568 จำนวน 1,500 คน) ระบุว่า อันดับ 1 คือ พรรคเพื่อไทย 30.6% อันดับ 2 พรรคประชาชน 20.5% อันดับ 3 พรรคภูมิใจไทย 20.8%
สำหรับพรรคเพื่อไทย นี่คือครั้งแรกที่ส่งผู้สมัคร อบจ. ในนามพรรค โดยส่งผู้สมัครทั้งสิ้น 14 คน ในนามเพื่อไทย บวกกับอีก 2 คน ในนามสมาชิกพรรค รวม 16 คน
ด้านพรรคประชาชน ส่งผู้สมัครทั้งสิ้น 17 คน เจาะจงที่จังหวัดที่ ‘มีความพร้อม’ โดยจังหวัดที่พรรคที่สองพรรคใหญ่ส่งผู้สมัครชนกัน ได้แก่ เชียงใหม่, ลำพูน, มุกดาหาร, ปราจีนบุรี
สำหรับพรรคประชาชน ศ.ดร.เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์ ผอ.สถาบันอนาคตศึกษาเพื่อการพัฒนา ได้ให้สัมภาษณ์กับเนชั่นทีวี ว่า พรรคประชาชนเสียเปรียบอย่างมากในทุกประตู และอาจจะได้เก้าอี้ อบจ. น้อยมาก (ถ้าได้) และมองว่า บ้านใหญ่ในพื้นที่ จะได้เก้าอี้ อบจ. ซึ่งสถานการณ์นี้ เป็นการต่อสู้ที่ชัดเจนว่า ‘กระแสแพ้กระสุน’
อย่างไรก็ดี ศ.ดร.เกรียงศักดิ์ มองว่า การพ่ายแพ้ในศึกเลือกตั้ง อบจ. ของพรรคประชาชนไม่ได้แปลว่าจะแพ้ในศึกเลือกตั้งทั่วไปปี 2570 เพียงแต่การเลือกตั้ง อบจ. มีหลายเงื่อนไขที่พรรคประชาชนเป็นรอง เช่น
- ฐานคะแนนที่อ่อนแอกว่าพรรคการเมืองใหญ่
- ไม่มีกระแสต่อต้านประยุทธ จันทร์โอชามาช่วยหนุนเหมือนอดีต
- การที่ กกต. กำหนดวันเลือกตั้งเป็นวันเสาร์ รวมถึงไม่สามารถใช้สิทธิเลือกตั้งล่วงหน้า ทำให้พรรคประชาชนเสียเปรียบ และทำให้ชนชั้นกลางที่สนใจการเมืองระดับชาติบางส่วนไม่ออกมาเลือกตั้ง อบจ.
ด้าน รศ.ดร. พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต ผอ.หลักสูตรการเมืองและยุทธศาสตร์การพัฒนา (นิด้า) มองว่า สนามที่เพื่อไทยไม่ได้ส่งผู้สมัครลงแข่ง อย่างจังหวัดในแถบปริมณฑลและภาคตะวันออก อาทิ สมุทรปราการ สมุทรสงคราม สมุทรสาคร นนทบุรี ชลบุรี จันทบุรี ระยอง ตราด ฯลฯ ซึ่งบ้านใหญ่มีอิทธิพลไม่มากนัก และเพื่อไทยไม่ได้ส่งผู้สมัครอย่างชัดเจน พื้นที่เหล่านี้จึงเป็นโอกาสของพรรคประชาชนที่จะส่งผู้สมัครลงต่อสู้กับบ้านใหญ่เดิมของแต่ละจังหวัด และชูนโยบายของตนเองขึ้นมาได้อย่างโดดเด่น และมีโอกาสได้รับชัยชนะ
อีกจังหวัดหนึ่งที่เป็นจังหวัดเป้าหมายของพรรคประชาชน คือ จังหวัดภูเก็ต เนื่องจากเป็นจังหวัดที่มีชนชั้นกลางอาศัยอยู่เยอะ และเป็นจังหวัดที่พรรคประชาชนได้เก้าอี้ สส.
รศ.ดร.ยุทธพร อิสรชัย อาจารย์ประจำสาขาวิชารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช มองว่า โอกาสที่พรรคประชาชนจะได้นายก อบจ. ในภาคใต้นั้นไม่ง่าย อาจได้เพียงการปูฐานมวลชนไปสู่การเลือกตั้งใหญ่ และอาจมีหวังกับ ส.อบจ. ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการทำงานถ่วงดุลอำนาจกับนายก อบจ. และเป็นพื้นที่ที่สามารถโชว์การทำงานผ่าน ส.อบจ ได้
รศ.ดร.ยุทธพร มองว่า แนวทางนโยบายของทั้งพรรคประชาชน พรรคเพื่อไทย และพรรคภูมิใจไทยนั้น มองการเมืองคนละแบบ เช่น พรรคเพื่อไทยมองการแบบเชื่อมโยงการกับรัฐบาลและการเมืองระดับชาติ เห็นได้จากการที่ทักษิณ ชินวัตร มักพูดถึงนโยบายของรัฐบาลในหลายพื้นที่ ขณะที่พรรคประชาชน จะเน้นไปที่นโยบายการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง นโยบายสาธารณะ ประกอบกับการเคลื่อนไหวของคณะก้าวหน้าที่ทำงานเรื่องท้องถิ่นที่ช่วงที่ผ่านมา ส่วนพรรคภูมิใจไทย จะเน้นไปที่การทำงานการเมืองระดับพื้นที่ เน้นที่ตัวบุคคลและเครือข่ายทางการเมือง
เช็คเรตติ้ง ‘ทักษิณ’ เลือกตั้งท้องถิ่น หาเสียงระดับชาติ!
สำหรับผู้ช่วยหาเสียงในปีนี้ เรียกได้ว่ามีแต่นักการเมืองระดับ “บิ๊ก” ที่วิ่งรอกลงพื้นที่หาเสียงกันอย่างแข็งขัน โดยฝั่งเพื่อไทย มี ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และอดีตหัวหน้าพรรคไทยรักไทย เป็นผู้ช่วยหาเสียงกิตติมศักดิ์
ด้านพรรคประชาชน ก็มีอดีตหัวหน้าพรรคอย่าง ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ (หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่) และพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ (หัวหน้าพรรคก้าวไกล) เป็นผู้ช่วยหาเสียง
ศ.ดร.เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์ มองว่า การหาเสียงบนเวทีเลือกตั้งท้องถิ่นอย่าง อบจ. ที่สะท้อนชัดเจนว่า บรรดาผู้ช่วยหาเสียงของแต่ละพรรค ต่างก็ขนนโยบายระดับชาติมาเชื่อมโยงสู่ประเด็นท้องถิ่นอย่างมีนัยสำคัญ
“การชูนโยบายระดับชาติเสียส่วนใหญ่ นโยบายท้องถิ่นก็พูดพอทำเนา พูดเป็นพิธีไปอย่างนั้น แล้วก็เอาผู้ช่วยหาเสียงตัวใหญ่ๆ ลงมาหาเสียง ไม่ว่าจะเป็นธนาธร พิธา ไปจนถึงคุณทักษิณ นี่คือการต่อสู้ระดับชาติ จะเห็นได้ว่าผู้ช่วยหาเสียงตัวเอ้ๆ ก็พยายามวิ่งรอก พยายามไปช่วยทุกเวที นี่คือการเชื่อมการเมืองระดับชาติสู่ท้องถิ่นอย่างยิ่งใหญ่ในการเลือกตั้ง อบจ. ครั้งแรกอย่างจริงจัง”
รศ.ดร. พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต ผอ.หลักสูตรการเมืองและยุทธศาสตร์การพัฒนา นิด้า
“ถ้าเราดูบทเรียนในจังหวัดอุดร คุณทักษิณก็ไปปราศรัยเปิดสนาม ทีนี้ เมื่อเรามาดูคะแนนผู้สมัครพรรคเพื่อไทยในอุดร (ศราวุธ เพชรพนมพร) ซึ่งชนะไปด้วยคะแนน 327,487 คะแนน ถ้าเทียบกับคะแนนเดิมในปี 2563 (วิเชียร ขาวขำ เพื่อไทย ชนะเลือกตั้ง 325,933 คะแนน) เราก็พบว่าอยู่ประมาณนี้ และเมื่อเทียบกับคะแนนเลือกตั้ง สส. ของพรรคเพื่อไทยเมื่อปี 2566 ก็อยู่ประมาณนี้เหมือนกัน”
“นั่นหมายความว่า คะแนนของเขาในพื้นที่อุดร ตั้งแต่เลือกตั้ง อบจ. ปี 2563 เลือกตั้ง สส. ในปี 2566 และเลือกตั้ง อบจ. ล่าสุด มันค่อนข้างจะนิ่งอยู่ประมาณนี้”
“ถ้าพูดแบบทั่วไป ก็แปลว่าคุณทักษิณไปช่วยหาเสียงที่อุดร ไม่ได้คะแนนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะเท่าใดนัก”
ซึ่งหากคิดในทางกลับกัน รศ.ดร. พิชาย ก็มองว่า หากคุณทักษิณไม่ไปช่วยหาเสียง คะแนนอาจน้อยกว่านี้ก็ได้ เพราะเป็นสนามที่พรรคประชาชนก็เดินหน้าลุยอย่างเต็มที่ และแม้จะแพ้ แต่ก็ได้คะแนนถึง 268,675 คะแนน เพิ่มขึ้นจากการเลือกตั้ง อบจ. ปี 2563 อย่างมีนัยสำคัญ (ปี 63 คณะก้าวหน้าขณะนั้นได้ 185,801 คะแนน) เพิ่มขึ้นเกือบแสนคะแนน
ส่วนสนามเลือกตั้งเชียงใหม่ หากดูเลือกตั้ง อบจ. ในปี 2563 ซึ่งเป็นการแข่งขันระหว่างเสื้อแดงกันเอง โดยด้านหนึ่งคือผู้สมัคร บุญเลิศ บูรณุปกรณ์ มี จตุพร พรหมพันธุ์ ช่วยปราศรัยหาเสียง ส่วนอีกด้านคือ พิชัย เลิศพงศ์อดิศร มี ทักษิณ ชินวัตร เป็นแบ็คอัพ ผลปรากฏว่า ผู้ชนะคือคุณพิชัย ซึ่งชนะไปเพียง 6.8 หมื่นคะแนนเท่านั้น
ในครั้งนี้ คือการสู้กันระหว่างเพื่อไทยและพรรคประชาชน ความน่าสนใจคือ ในสนามเชียงใหม่-เชียงราย ในการเลือกตั้งใหญ่ปี 66 เพื่อไทยถือว่าแพ้พรรคก้าวไกลคาบ้านพลิกล็อกถล่มทลาย โดยก้าวไกลได้ สส. เชียงใหม่ไปถึง 7 คน ส่วนเพื่อไทยได้เพียง 2 คนเท่านั้น
ฉะนั้น ในการต่อสู้สนาม อบจ. ครั้งนี้ เชียงใหม่จึงเป็นสนามที่น่าสนใจ เพราะทัศนะของคนเชียงใหม่โดยเฉพาะชนชั้นกลางที่ขยายตัวมากขึ้น ก็อาจเปลี่ยนแปลงในสนามนี้เช่นกัน ทว่าก็ไม่อาจประมาทฐานเสียงเดิมของเพื่อไทยที่แข็งแกร่งไม่น้อย แถมมีทักษิณ ชินวัตร ลงพื้นที่ปราศรัยหลังไปอยู่เมืองนอกมา 17 ปี
ส่วนเชียงราย คือการต่อสู้ระหว่างบ้านใหญ่ ‘ติยะไพรัช’ กับบ้านใหญ่ ‘วันไชยธนวงศ์’ โดยพรรคเพื่อไทยได้สนับสนุน สลักจฤฎดิ์ ติยะไพรัช ชิงเก้าอี้ ส่วนอีกด้านคือ อทิตาธร วันไชยธนวงศ์ (อดีตนายก อบจ. สมัยที่ผ่านมา) ที่ลงในนามอิสระ แม้จะถูกมองว่ามีเครือข่ายสีน้ำเงินคอยหนุนหลังก็ตาม
เช็คบรรยากาศเลือกตั้ง 4 ภาค
อลงกรณ์ อัครแสง อาจารย์จากวิทยาลัยการเมืองการปกครอง มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ได้กล่าวในรายการ 101 Policy Forum ว่า บรรยากาศการเลือกตั้ง อบจ. ในพื้นที่มหาสารคามค่อนข้างจะเงียบเหงา ผู้คนไม่ค่อยพูดถึงเรื่องการเลือกตั้ง ซึ่งต่างจากความคึกคักในสื่อส่วนกลาง ขณะเดียวกัน สื่อมักให้ความสนใจไปที่ตัวผู้สมัคร อบจ. และมองข้าม ส.อบจ. ที่มีบทบาทสำคัญภายใต้โครงสร้างการบริหารราชการรวมศูนย์
ส่วนในพื้นที่ภาคเหนือ ภิญญพันธุ์ พจนะลาวัณย์ อาจารย์ประจำคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง ได้ให้ภาพว่า เนื่องจากภาคเหนือคือฐานที่มั่นสำคัญของพรรคเพื่อไทย เราจึงได้เห็นคุณทักษิณลงพื้นที่หลายครั้ง ขณะเดียวกัน เชียงใหม่เองก็ได้พยายามดัน ร่าง พ.ร.บ.เชียงใหม่มหานคร เพื่อผลักดันการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นอย่างเป็นเรื่องเป็นราว ทว่าสื่อกระแสหลักกลับไม่พูดถึงเรื่องนี้เลย แต่ให้วิธีการจับเอาสิ่งที่ทักษิณพูดมาเล่นเป็นรายวันเท่านั้น ทั้งที่ภาพใหญ่แล้ว ทิศทางการชูนโยบายในศึกเลือกตั้ง อบจ. คือเรื่องการกระจายอำนาจ
ภิญญพันธุ์ มองว่า ทุกวันนี้การเลือกตั้งท้องถิ่นไม่ต่างอะไรกับสนามอารมณ์ของเลือกตั้งระดับชาติ โดยนักการเมืองก็จะใช้เวทีนี้เป็นพื้นที่หาเสียง ขณะเดียวกัน สื่อก็มักจะจับคู่พรรคประชาชนและเพื่อไทยมานำเสนอ ทั้งที่สองพรรคนี้ไม่ได้ส่งผู้สมัครลงทุกจังหวัด กล่าวได้ว่า การนำเสนอการเลือกตั้ง อบจ. จากสื่อกระแสหลัก ได้ลดทอนรายละเอียด การเปลี่ยนแปลง หรือปัจจัยต่างๆ ในท้องถิ่นออกไปจากเนื้อหาข่าว
โอฬาร ถิ่นบางเตียว อาจารย์ภาควิชารัฐศาสตร์ คณะรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา กล่าวว่า สำหรับภาคตะวันออกนั้น คือการแข่งขันระหว่างบ้านใหญ่ในจังหวัด กับพรรคประชาชน ซึ่งต่อเนื่องมาจากการเลือกตั้ง สส. ที่พรรคประชาชนเข้ามายึดครองพื้นที่บ้านใหญ่ในหลายๆ จังหวัดสำเร็จ เช่น ชลบุรี ระยอง จันทบุรี ตราด นั่นทำให้การเลือก อบจ. ครั้งนี้ ไม่ใช่แค่การแข่งขันระหว่างบ้านใหญ่ที่แตกตัวออกจากกัน แต่เป็นการแข่งขันเพื่อที่จะต่อสู้กับพรรคประชาชนโดยตรง นั่นจึงทำให้การแข่งขันในภาคตะวันออกเข้มข้นเป็นพิเศษ
ส่วนการลงพื้นที่ก็เข้มข้นไม่แพ้กัน โดย โอฬาร ยกตัวอย่างพื้นที่ปราจีนบุรี ซึ่งก่อนหน้านี้ได้มีกรณีความรุนแรงเกิดขึ้น คือคดีที่ ชัยเมศร์ สิทธิสนิทพงศ์ หรือ สจ.โต้ง เสียชีวิตในบ้านพักของ สุนทร วิลาวัลย์ นายก อบจ.ปราจีนบุรี โดยโอฬาร กล่าวว่า ความเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนคือ การที่กลุ่มการเมืองแต่ละฝ่ายต้องนำเสนอนโยบายเพื่อครองใจประชาชน แทนการใช้การเมืองบ้านใหญ่แบบเดิมที่อาศัยวิธีการแบบ ‘ตระกูลการเมือง ใจถึงพึ่งได้ ลูกคนนั้นหลานคนนี้ ทำให้ทุกฝ่ายต้องออกแบบนโยบายสัญญาประชาคมและการออกแบบการพัฒนาเมืองมาสู้ศึกเลือกตั้ง อบจ. ครั้งนี้
“การเมืองในภาคตะวันออกครั้งนี้ บ้านใหญ่เองก็กลัวกระแสพรรคประชาชน เขาจึงต้องปรับตัวเองมาสู่การเมืองเชิงนโยบาย ขณะที่พรรคประชาชนก็เห็นโอกาสที่เขาสามารถยึดครองพื้นที่ได้จากการเลือกตั้งทั่วไป จึงเกิดการต่อสู้กันอย่างเข้มข้น”
เอกรินทร์ ต่วนศิริ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี กล่าวว่า เมื่อพูดถึงการเมืองภาคใต้ ทุกคนก็อาจนึกถึงพรรคประชาธิปัตย์ แต่ปัจจุบัน ผู้สมัครต่างๆ ไม่ได้มองว่าต้องใช้แบรนด์พรรคการเมืองโดยเฉพาะพรรคประชาธิปัตย์ในการมาสู่ศึกในครั้งนี้ ตัวอย่างเช่นจังหวัดนครศรีธรรมราช ที่ วาริน ชิณวงศ์ ผู้สมัครหน้าใหม่ ชนะ กนกพร เดชเดโช อดีตนายก อบจ. ไปกว่า 3 หมื่นคะแนน
นอกจากนี้ บรรยากาศเลือกตั้งในพื้นที่ภาคใต้ก็แตกต่างไปจากภาคอื่นๆ เนื่องจากไม่มีผู้สมัครของพรรคเพื่อไทย หรือผู้สมัครที่มีความใกล้ชิดกับพรรคเพื่อไทยลงสมัครเลยแม้แต่จังหวัดเดียว
เอกรินทร์ ฉายภาพการแข่งขันของผู้สมัครที่โดดเด่นโดยแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มคือ
กลุ่มที่ใกล้ชิดหรือได้รับการสนับสนุนจากพรรคภูมิใจไทย
กลุ่มที่ใกล้ชิดกับประชาธิปัตย์เดิม ซึ่งอาจไม่ได้สวมเสื้อพรรคประชาธิป และไม่ได้โน้มเอียงไปทางภูมิใจไทย
พรรคประชาชน ซึ่งส่งผู้สมัครลง 4 จังหวัดในภาคใต้ สุราษฎร์ธานี สงขลา พังงา ภูเก็ต
เอกรินทร์ พบว่า ใน 4 จังหวัดที่พรรคประชาชนส่งผู้สมัครลงแข่งขัน มีการเปลี่ยนแปลงและปรับตัวของคู่แข่งในเชิงนโยบายหาเสียงอย่างเข้มข้น โดยเฉพาะจังหวัดสงขลา สุราษฎร์ธานี และภูเก็ต ส่วนจังหวัดอื่นๆ จะแข่งขันกันในลักษณะ ‘บ้านใหญ่ชนบ้านใหญ่’ โดยเฉพาะในโซนพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่เป็นการปะทะกันระหว่างพรรคประชาชาติ กับกลุ่มที่มี ธรรมนัส พรหมเผ่า และกลุ่มที่มี ชาดา ไทยเศรษฐ์ ผนึกกำลังกันเพื่อล้มบ้านใหญ่
สรุปผลการเลือกตั้ง
พรรคเพื่อไทย สามารถเก็บชัยชนะในสนามการเลือกตั้งนายก อบจ. ได้ถึง 10 ที่นั่ง จากที่ส่งผู้สมัครทั้งหมด 16 คน และพ่ายแพ้ไปถึง 4 จังหวัด คือ เชียงราย, ลำพูน, บึงกาฬ, ศรีสะเกษ ให้กับผู้สมัครอิสระกลุ่มการเมืองที่เป็นเครือข่าย 'ค่ายน้ำเงิน'
เมื่อรวมยอดนายก อบจ. ที่เลือกตั้งไปก่อนหน้า 29 จังหวัด เท่ากับว่า เพื่อไทยชิงเก้าอี้มาได้ 17 จังหวัด
ด้านพรรคประชาชน ได้แค่ นายก อบจ. ลำพูน มา 1 คนเท่านั้น จากผู้สมัครทั้งสิ้น 17 คน
อ้างอิง
- อบจ. เลือกตั้งไปทำไม ทำไมเลือกตั้งนายก อบจ. เหลือแค่ 47 จังหวัด
- https://www.the101.world/101-policy-forum-thailand-local-election-68/
- เมื่อเสียงปืนดังขึ้นในสมรภูมิการเลือกตั้ง อบจ.
- ผลการสำรวจความคิดเห็นเรื่อง การเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด 2568
- เปิดแผนที่ ศึกนายก อบจ. 29 จังหวัด ใครชนะที่ไหนไปแล้วบ้าง?
- ส้ม-แดง สู้ศึกท้องถิ่นยิบตา ทักษิณหวังแลนด์สไลด์ อบจ | THAIRATH NEWSROOM 20 ม.ค. 68
- การเมืองท้องถิ่นระอุ จับตาศึก 3 เส้า โหมโรงเลือกตั้ง 70 | THAIRATH NEWSROOM 13 ม.ค. 68
- จับตาเลือกตั้ง อบจ. 68 มุมมองจากพื้นที่ | 101 Policy Forum #22
- โค้งสุดท้ายเลือกตั้ง อบจ. ปัจจัยชี้วัดชัยชนะ | เนชั่นทันเที่ยง | 26 ม.ค. 68 | NationTV22
- เกาะติดเลือกตั้ง อบจ.