ประธาน กกต. ส่งทีมสืบสวน เฝ้าระวังเลือกตั้ง อบจ. “ปราจีนบุรี” ก่อน 2 สัปดาห์ มั่นใจผู้สมัครรู้ข้อปฏิบัติหาเสียงแม้ใกล้เทศกาลตรุษจีน เตือนเลี่ยงแจกแต๊ะเอีย ส่วนคำร้องยุบ “เพื่อไทย-6 พรรคการเมือง” ผู้ถูกร้อง ผู้เกี่ยวข้องมาชี้แจงแล้ว ชี้การกระทำของ “ทักษิณ” บางประการ ไม่อาจตีความไปสู่การครอบงำได้
วันที่ 10 ม.ค. 2567 นายอิทธิพร บุญประคอง ประธานกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าการจัดการเลือกตั้ง นายกและสมาชิกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ว่า บัตรเลือกตั้งพิมพ์เรียบร้อยแล้ว อยู่ระหว่างกระบวนการที่จะส่งไปยังแต่ละจังหวัด ให้บริษัทไปรษณีย์ไทยดำเนินการ จะมีการจัดรถขนบัตรไปรับที่โรงพิมพ์ และมีเจ้าหน้าที่ตำรวจนั่งไปกับรถทุกคัน รวมถึงการเอา GPS ติดเอาไว้กับรถที่ขนบัตรทุกคัน จะทำให้รับรู้ถึงความเคลื่อนไหวของรถแต่ละคัน เมื่อไปถึงจุดที่เป็น อบจ. แล้วก็จะเป็นหน้าที่ของผู้อำนวยการการเลือกตั้งบริหารส่วนจังหวัด ที่ต้องรับผิดชอบเอาเข้าไปเก็บไว้ในห้องที่มีคนเฝ้าและมีกล้องวงจรปิด
นายอิทธิพร กล่าวว่า ในเรื่องอื่น ๆ นั้นมีความคืบหน้าและมีการพูดคุยกับหน่วยงานที่จะทำหน้าที่การเลือกตั้งโดยมีการพูดคุยกันเมื่อวานนี้ (9 ม.ค.) ซึ่งได้ไปเปิดอบรม ทำความเข้าใจในเรื่องการสืบสวนไต่สวนให้กับพนักงานสืบสวนไต่สวนและคณะกรรมการ จำนวน 500 กว่าคน และได้ให้แนวคิดเพิ่มเติม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการทำงาน และในส่วนของชุดเคลื่อนที่เร็วก็จะมีการตั้งขึ้นเพื่อช่วยเรื่องป้องกันป้องปรามและปราบปรามการซื้อเสียง ซึ่งในส่วนของขั้นตอนสุดท้ายก็จะมีการอบรมอีกครั้งหนึ่งก่อนวันเลือกตั้งเพื่อให้เกิดความแม่นยำในการปฏิบัติหน้าที่
“ส่วนตัวเลขที่อยากจะเอามาพูดในบริบทนี้ด้วย คือการทำงานของคณะกรรมการประจำหน่วยเลือกตั้ง (กปน.) ในปี 2566 ออกแถลงการณ์ใช้ชื่อว่า ‘กปน คือหัวใจของความสำเร็จการเลือกตั้ง’ ส่วนตัวเลขที่น่าดีใจคือเมื่อปี 2562 มีข้อร้องเรียนเกี่ยวกับ กปน. 100 กว่าเรื่อง แต่ปี 2566 เหลือเพียง 17 เรื่อง จะเห็นได้ว่าประสิทธิภาพในการทำงานของการเป็น กปน. อาจจะดีขึ้น เพราะฉะนั้นการอบรม 3 วันก่อนวันเลือกตั้งเป็นเรื่องที่สำคัญ ขอย้ำอีกทีว่าให้ระมัดระวังเรื่องอะไรบ้างควรทำอะไรบ้าง”
...
ยอมรับผู้มาใช้สิทธิ์อาจน้อยกว่าเลือกตั้งใหญ่
ส่วน กกต. จะมีการประเมินหรือไม่ว่าคนจะมาเลือกตั้งท้องถิ่นครั้งนี้จะเท่าเลือกตั้งใหญ่หรือไม่ นายอิทธิพร ระบุว่า มีการประเมิน ซึ่งได้มีการพูดคุยกันแล้ว ข้อเท็จจริงปี 2563 ที่มีการเลือก อบจ. ครั้งนั้น มีผู้มาใช้สิทธิ 62.86% ซึ่งถ้าเทียบกับการเลือกตั้งทั่วไป หรือการเลือกตั้งสภาผู้แทนราษฎรในปี 2566 จะเห็นว่าตัวเลขต่างกัน ถ้าเอาตัวเลขมาเทียบกันจะพบว่าตัวเลขของท้องถิ่นต่ำกว่าการเลือกตั้งครั้งใหญ่แน่นอน แต่ถ้าเฉลี่ย 62.86% เป็นตัวเลขที่ดูไม่มากในบริบทของการเมืองไทย แต่ไม่ได้หมายความว่าทุกจังหวัดจะ 62% นี่เป็นเพียงแค่ค่าเฉลี่ย ซึ่งจังหวัดที่สูงสุดคือจังหวัดพัทลุง 78% ตามด้วยลำพูน 77% เชียงใหม่ 71.95% ซึ่งตนเองมองว่าเยอะ ส่วนจังหวัดที่มีการเลือกตั้งน้อยนั้น ยกตัวอย่างเช่นจังหวัดนนทบุรีและบุรีรัมย์ 50%
นายอิทธิพร กล่าวอีกว่า อยากให้ประชาชนออกมาใช้สิทธิกันเยอะ ๆ หากใครที่ไม่ออกมาใช้สิทธิก็อยากให้แจ้งทางหน่วยงานว่าเหตุใดถึงไม่ออกมาใช้สิทธิ ถ้าหากไม่ไปแจ้งเหตุไม่ใช้สิทธิ ก็อาจจะถูกกำจัดสิทธิทางการเมืองในอนาคตได้
เตือนไม่ควรหาเสียงล้ำเส้น
เมื่อถามว่ามีคำร้องเกี่ยวกับเรื่องหาเสียงหรือไม่ นายอิทธิพร กล่าวว่า ขณะนี้ที่เช็คเมื่อช่วงเช้า ตอนนี้มีอยู่ 30 เรื่อง ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องซื้อเสียง “การหาเสียงคือการที่ผู้สมัครเสนอนโยบายที่ตนเองจะเข้าไปปฏิบัติหากได้รับเลือกว่าจะทำงานด้านอะไรบ้าง เพราะว่าอำนาจหน้าที่ของ อบจ. ก็มีระบุไว้ในกฎหมายชัดเจน กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นเขาก็มีนโยบายชัดเจน เพราะฉะนั้นการหาเสียงก็ควรที่จะอยู่ในกรอบ ส่วนขอบเขตของผู้ช่วยหาเสียงนั้น คือช่วยผู้สมัครหาเสียงในนโยบายที่ผู้สมัครประสงค์จะนำไปปฏิบัติเมื่อได้รับเลือกตั้ง ถ้าไปหาเสียงแล้วไม่พูดถึงนโยบายที่จะทำ ก็ไม่ใช่การหาเสียงและจะส่งผลกระทบต่อการที่จะไม่ได้คะแนน เพราะไปพูดถึงเรื่องอื่นโดยที่ไม่ได้พูดจะทำอะไรในบริบทที่เป็นงานตัวเอง คะแนนก็อาจจะไม่ค่อยได้”
เมื่อถามว่ามีการจับตามองจังหวัดไหนที่ดูแลเป็นพิเศษหรือไม่ นายอิทธิพร กล่าวว่า ผอ.กกต. จังหวัดที่ทำงานด้านการเลือกตั้งก็มีการติดต่อกันเข้ามาอย่างเข้มข้นตั้งแต่ปี 2561 ซึ่งมีการตระหนักถึงสถานการณ์ของแต่ละจังหวัด อาจจะมีบางจังหวัดที่จะต้องเพิ่มความระมัดระวังเป็นพิเศษ ให้การแข่งขันเป็นไปตามกฎกติกา ในบางกรณีอย่างเช่นจังหวัดปราจีนบุรี ทีมสืบสวนไต่สวนของ กกต. ก็ลงพื้นที่ในช่วง 2 สัปดาห์ก่อนวันเลือกตั้งเพื่อให้เกิดความมั่นใจว่า การแข่งขันจะอยู่ในกรอบกติกา ผอ. จังหวัดก็มีการแจ้งให้ทราบว่าสถานการณ์การแข่งขันจะหนักแน่นรุนแรงหรือไม่ ซึ่งตนเองไม่อยากใช้คำว่ารุนแรง เพราะมีความรุนแรงน้อยลงไปทุกที มีแต่ความเข้มข้นขึ้น ซึ่งจังหวัดไหนมีการแข่งขันเข้มข้น แน่นอนว่าหน่วยงานของเราจะลงพื้นที่ไปดูแลอยู่เสมอ
ย้ำข้อปฏิบัติผู้สมัคร อบจ.
ทั้งนี้ นายอิทธิพร กล่าวถึงข้อปฏิบัติของผู้สมัคร อบจ. ในช่วงเทศกาลตรุษจีนว่าอะไรที่ควรทำ ไม่ควรทำ ผู้สมัครได้รับการบรรยายอย่างชัดเจนจาก กกต. ทุกจังหวัด ในรูปแบบของการประชุมเชิงสมานฉันท์ อะไรที่เป็นการกระทำผิดกฎหมายโดยแท้ (1) ให้จัดให้เสนอให้สัญญาว่าจะให้กับผู้ใดผู้หนึ่ง (2) ให้ชุมชน ให้องค์กรสถาบัน (3) มหรสพ (4) จัดเลี้ยง (5) หลอกลวงใส่ร้ายบังคับ เป็นกฎกติกาที่มีทุกการเลือกตั้ง ซึ่งผู้สมัครย่อมรู้ดีอยู่แล้วว่ามีอะไรที่ทำไม่ได้บ้าง
ขณะที่เรื่องที่ต้องแจ้งชื่อผู้ช่วยหาเสียง ก่อนการหาเสียงต้องแจ้งให้ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำจังหวัดทราบ และจะต้องมีการคำนวณค่าใช้จ่ายในการหาเสียงด้วย เพราะระยะหลังมีคำร้องเกี่ยวกับเรื่องนี้เพิ่มขึ้นอย่างมาก ผู้สมัครจะต้องจดบันทึกเงินที่ใช้ในการหาเสียงทุกครั้ง และนำหลักฐานมาแสดงผลการเลือกตั้งมายื่นต่อ กกต. ภายใน 90 วันว่าใช้วงเงินในการหาเสียงไปเท่าไร หากแจ้งวงเงินไม่ครบก็มีความผิด เพราะกฎหมายระบุว่าต้องแจ้งให้ครบ
ขณะที่แต๊ะเอียในช่วงเทศกาลตรุษจีน ถือเป็นประเพณี หากช่วงที่มีการเลือกตั้ง หลีกเลี่ยงได้ควรหลีกเลี่ยง เนื่องจากเสี่ยงที่จะถูกมองว่าให้เงิน ส่วนกรณีงานแต่ง หากเป็นญาติจะช่วยเหลือได้มากน้อยแค่ไหนนั้น คงจะไม่ถึงขั้นซื้อเสียง เพราะเป็นประเพณีปฏิบัติ
เผยเรียกคู่กรณีร้องยุบ พท.- 6 พรรคแจงแล้ว
ส่วนความคืบหน้าในคำร้องยุบพรรคเพื่อไทย และอีก 6 พรรคการเมืองนั้น ประธาน กกต. ระบุว่า ทั้ง 3 คำร้อง อยู่ในขั้นตอนของคณะกรรมการรวบรวมข้อเท็จจริงและพยานหลักฐาน ซึ่งได้เชิญผู้ถูกร้อง ผู้ที่เกี่ยวข้องมาให้ถ้อยคำแล้ว ส่วนระยะเวลาตนยังไม่แน่ใจ แต่ก็ย้ำว่าจะเร่งดำเนินการให้เร็วที่สุดในทุกเรื่อง หากเรื่องไหนที่มีความจำเป็นที่จะต้องรับฟังหลายบุคคลตามกระบวนการ
ส่วนคำร้องเรื่องการครอบงำพรรคการเมืองของนายทักษิณ ชินวัตรนั้น ประธาน กกต. ระบุว่า ต้องดูตามกฎหมาย ที่จะเข้าข่ายอยู่ 2 มาตรา คือ พรรคการเมืองพรรคใดให้ผู้อื่นมาครอบงำ และผู้ใดที่ไปครอบงำพรรคการเมือง ฉะนั้นการกระทำเพียงหนึ่งถึงสองครั้ง ไม่อาจนำมาใช้วินิจฉัยได้ จึงต้องดูที่ข้อเท็จจริงเป็นหลัก