แหล่งข่าวที่เชื่อถือได้แจ้งว่า พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกฯ และ รมว.พลังงาน น่าจะถูกปรับออกจากคณะรัฐมนตรีในระยะเวลาอันใกล้ก่อนที่ฝ่ายค้านจะเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล
แม้พีระพันธุ์จะออกมายืนกรานในผลงานว่า สามารถตรึงค่าไฟฟ้าและราคาน้ำมันให้แก่ผู้บริโภคได้สำเร็จในปีที่ผ่านมาก็ตาม
แต่การประกาศอย่างมั่นใจว่า จะปฏิรูปนโยบายด้านพลังงาน ทั้งค่าไฟฟ้า น้ำมัน และแก๊ส ตามวิธีการของเขา จะทำให้พี่น้องคนไทยได้รับประโยชน์จริงๆ และไม่ต้องเผชิญปัญหารายจ่ายด้านพลังงานอีกต่อไป
ว่าแต่นโยบายปฏิรูปกฎระเบียบด้านพลังงานของพีระพันธุ์ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากบรรดากูรูด้านพลังงานว่า ออกจะย้อนยุค และถอยหลังกลับไปใกล้ปั๊ม “น้ำมันสามทหาร” มากไปหน่อย
ซ้ำยังมีแนวคิดแบบเดียวกับ NGO ที่ขัดแย้งแทบทุกเรื่องกับการพัฒนาความก้าวหน้าด้านพลังงานของประเทศ หลังจากที่คนกลุ่มนี้ถอยกรูดออกไปนานพอสมควรแล้ว
ประเด็นสำคัญคือ เขาไม่ได้มองไปข้างหน้าเพื่อหามาตรการรับมือกับความเสี่ยงต่างๆที่จะเกิดขึ้นในด้านพลังงานเลย
นโยบายสำคัญของเขา คือ ลดภาษีต่างๆ ที่ทำให้น้ำมันและก๊าซมีราคาแพงกว่าที่ควรจะเป็น ก่อนจะไปเจรจากับกระทรวงการคลัง เพื่อขอให้เพิ่มมาตรการให้ประชาชนสามารถนำรายจ่ายด้านพลังงานไปหักลดหย่อนภาษีได้
พีระพันธุ์ยืนยันแนวคิดในการร่างกฎหมายกำกับการประกอบกิจการค้าน้ำมันเชื้อเพลิงซึ่งกำหนดไม่ให้มีการปรับราคาขึ้นลงรายวัน
มีระบบพิสูจน์ต้นทุน และยกเลิกการอ้างอิงราคาน้ำมันที่สิงคโปร์ ด้วยการมุ่งเน้นให้โรงกลั่นในประเทศต้องแจ้งราคารับซื้อน้ำมันดิบจากแหล่งต่างๆ พร้อมการปรับลดค่าการตลาดของปั๊มน้ำมันต่างๆลง
โดยเขาจะนำระบบต้นทุนบวกค่าใช้จ่ายจริงที่เรียกว่า ระบบ Cost Plus มาใช้ พร้อมกับจะมีน้ำมันเพื่อการเกษตรและชาวประมงขายในราคาที่ถูกลงด้วย
...
นัยว่าจะเปิดให้ผู้ประกอบการขนส่ง และองค์กรสาธารณกุศล สามารถนำน้ำมันเข้ามาใช้ได้เอง ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนลงได้มาก ในเวลาเดียวกันจะเปิดโอกาสให้รัฐจัดให้มีน้ำมันเพื่อผู้มีรายได้น้อยได้ใช้ด้วย
สำหรับนโยบายที่จะทำในปี 68 นอกเหนือจากการสนับสนุนการใช้ไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ หรือโซลาร์รูฟ ด้วยการยกเลิกการขออนุญาตทุกรูปแบบเปลี่ยนมาเป็นติดตั้งได้ทันที เพื่อเป็นการลดค่าไฟฟ้าลงแล้ว
พีระพันธุ์ยังกำหนดให้ต้องเก็บสำรองน้ำมันขั้นต่ำ 90 วัน ไม่ใช่เพื่อการค้า แต่เพื่อความมั่นคง ซึ่งจะเปลี่ยนการเก็บเงินจากผู้ใช้น้ำมันไปเป็นผู้ค้าน้ำมันแทน และตรงนี้จะทำให้ราคาน้ำมันลดลงทันทีอย่างน้อย 2.50-4.00 บาท
ทั้งหมดที่เขาหยิบยกขึ้นเป็นนโยบายปฏิรูปด้านพลังงานใหม่น่ะ ในตลาดค้าน้ำมันเรียกกันว่า นโยบายคร่ำครึ ขัดต่อกลไกการค้าเสรีของตลาดโลก และเป็นไปไม่ได้ในหลายนโยบาย
ขืนปล่อยให้อยู่ต่อไป ไม่ใช่พีระพันธุ์ จะเป็นพีระ-พังคนเดียว แต่ ปตท.และตลาดค้าน้ำมันในประเทศคงพังไปด้วย.
ฟันนี่เอส
คลิกอ่านคอลัมน์ “กระจก 8 หน้า” เพิ่มเติม