“ธนกร” ปักธงค้านพรรคประชาชน ชงแก้ ม.256 ชี้ ตัดอำนาจ สว. ขัดเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญ ทำเสียสมดุล 2 สภา มอง หนักข้อสุดซอย เอื้อมแตะหมวด 1-2 พ่วงอำนาจองค์กรอิสระ เตือน ระวังถูกฟ้อง ม.157 เชื่อ รัฐสภาไม่เอาด้วยแน่

วันที่ 6 มกราคม 2568 นายธนกร วังบุญคงชนะ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) แบบบัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่พรรคประชาชนเสนอร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 และเพิ่มเติมหมวด 15/1 นั้น มองว่าการเสนอแก้ไขมาตรา 256 โดยใน (6) ของพรรคประชาชน เรื่อง การออกเสียงรับหลักการวาระแรก และเสียงเห็นชอบในวาระสาม ที่กำหนดให้ใช้เสียงเห็นชอบไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของสมาชิกรัฐสภาที่มีอยู่ โดยเสนอให้ตัดเงื่อนไขที่ต้องใช้เสียงเห็นร่วมด้วยของสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ออกไป และแทนที่ด้วยเสียงเห็นชอบจาก สส. ไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 แทนนั้น ถือเป็นการริบอำนาจหรือตัดทอนอำนาจของ สว. ลงอย่างชัดเจน ซึ่งขัดต่อเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญเรื่องอำนาจหน้าที่ของสมาชิกรัฐสภา

ทั้งนี้ สว. หรือสภาสูง มีเพื่อช่วยกลั่นกรองกฎหมายจากสภาผู้แทนราษฎรให้เกิดความรอบคอบ ถูกต้อง และเป็นประโยชน์ต่อประชาชน ประเทศชาติมากที่สุด หากถูกตัดอำนาจลงไป มองว่าจะเป็นการเสียสมดุลของอำนาจทั้งสองสภาได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ตนไม่เห็นด้วย เพราะจะเป็นชนวนสร้างความขัดแย้งขึ้นระหว่างสองสภาอย่างแน่นอน ที่สำคัญรัฐธรรมนูญมาตรา 156 (15) ได้บัญญัติชัดเจนให้การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญตามมาตรา 256 ต้องกระทำร่วมกันของรัฐสภา

นายธนกร เผยต่อไปว่า สิ่งสำคัญที่สุดที่ขอคัดค้านในการเสนอร่างแก้ไขของพรรคประชาชน ได้ตัดเงื่อนไขของการนำไปออกเสียงประชามติ ก่อนการทูลเกล้าฯ ในมาตรา 256 (8) ในกรณีเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมหมวด 1 บททั่วไป หมวด 2 พระมหากษัตริย์ รวมถึงเรื่องที่เกี่ยวกับคุณสมบัติหรือลักษณะต้องห้ามของผู้ดำรงตำแหน่งต่างๆ ตามรัฐธรรมนูญ เรื่องที่เกี่ยวกับหน้าที่หรืออำนาจศาลหรือองค์กรอิสระนั้น ตนในฐานะ สส.พรรครวมไทยสร้างชาติ ย้ำจุดยืนชัดเจนมาตลอดว่าแก้ไขรัฐธรรมนูญได้แต่ต้องไม่แตะหมวด 1 และหมวด 2 ที่เกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ เพราะรัฐธรรมนูญในหมวดดังกล่าวได้เขียนไว้อย่างดีอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องไปแก้ไข

...

ส่วนการเสนอของพรรคประชาชน ที่เสนอให้ไม่ต้องจัดทำประชามติก่อนเสนอทูลเกล้าฯ นั้น มองว่าสุดท้ายจะมีปัญหาเรื่องความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมตามมา เพราะเคยมีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ 4/2564 วินิจฉัยเป็นบรรทัดฐานไว้แล้วว่า ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ ต้องจัดทำประชามติก่อนและหลังในการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับถึง 3 ครั้ง

“หากพรรคประชาชนดันทุรังอาจสุ่มเสี่ยงที่ผู้เสนอร่างและสมาชิกรัฐสภาที่ร่วมพิจารณา เนื่องจากไม่มีการจัดทำประชามติก่อนเสนอทูลเกล้าฯ อาจถูกร้องเอาผิดฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 รวมทั้งเกี่ยวโยงปัญหาสมาชิกรัฐสภาฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมร้ายแรง และอาจถูกส่งให้ ป.ป.ช. ถอดถอนด้วย เชื่อว่าจะไม่ผ่านความเห็นชอบทั้งสองสภา ไม่เอาด้วยกับกฎหมายที่สุ่มเสี่ยงแบบนี้แน่นอน ที่สำคัญ พรรคร่วมรัฐบาลย้ำจุดยืนเดิมชัดเจนมาตลอดว่า แก้รัฐธรรมนูญได้ แต่ต้องไม่แตะหมวด 1-2”