“รมช.กลาโหม” ลั่น ทหารไทย ไม่ได้อ่อน หลังถูกวิจารณ์ ปมว้าแดงรุกชายแดน ย้ำ “กองทัพ” พร้อมปกป้องอธิปไตย ชี้ รบกันไม่ยาก แต่ผลกระทบเกินเยียวยา ยันกลาโหมเดินหน้าปฏิรูปกองทัพไม่เกี่ยวถูกกดดัน ชี้สกัดรัฐประหาร ไม่จำเป็นต้องมากำหนดในร่างพ.ร.บ.กลาโหม

วันที่ 20 ธ.ค. 2567 ที่กองบัญชาการกองทัพบก พลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงสถานการณ์ตามแนวชายแดนไทยเมียนมา กรณีพื้นที่ที่มีการพิพาทเกิดขึ้นกับกลุ่มว้าแดงในขณะนี้ ว่า ประเด็นนี้ไม่ขอลงรายละเอียด แต่ขอให้ประชาชนมั่นใจว่า กองทัพพร้อมปกป้องอธิปไตยหากเกิดการรุกล้ำอธิปไตยเข้ามา เช่นเดียวกับกรณีที่เมียนมายังคงไม่ปล่อยตัว 4 ลูกเรือประมงไทย ไม่อยากจะลงในเรื่องของรายละเอียด เนื่องจากอยู่ระหว่างการพูดคุย ซึ่งอาจกระทบต่อขั้นตอนการเจรจา อาจทำให้คนไทยที่อยู่ฝั่งนู้นได้รับผลกระทบ

เมื่อถามว่า ยืนยันได้หรือไม่ว่าหน่วยงานความมั่นคง ไม่ได้อ่อนเกินไป พลเอก ณัฐพล กล่าวว่ายืนยันอย่างหนักแน่นว่า ไม่ได้อ่อน เราพร้อมปฏิบัติการเมื่อรัฐบาลสั่งการ แต่การพูดคุยจะต้องคำนึงถึงผลกระทบอย่างรอบด้าน ทั้งสังคม เศรษฐกิจ การท่องเที่ยว แต่อยากให้เชื่อใจ หากเป็นเรื่องอธิปไตย กองทัพปกป้องแน่นอน ไม่ยอมให้ใครมารุกล้ำอธิปไตย แต่ในขณะเดียวกัน การพูดคุยก็ต้องคำนึงถึงทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเมืองระหว่างประเทศ เศรษฐกิจ สังคม รวมถึงประชาชนที่อยู่ตามแนวชายแดน

“การรบกัน การปะทะกัน เป็นอาชีพของทหาร และความรับผิดชอบอยู่แล้ว แต่ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับพี่น้องประชาชนตามแนวชายแดน เราต้องคำนึงถึงเรื่องนี้ด้วย”

เมื่อถามว่ากลุ่มว้าแดง ไม่ได้รุกล้ำมาเพียงแค่จุดเดียว แต่ตลอดแนวชายแดนไทยเมียนมา มีการรุกล้ำถึง 80 จุด พลเอก ณัฐพล กล่าวว่า ไม่ถึงขนาดนั้น ซึ่งพื้นที่ตามแนวชายแดน เช่น เชียงใหม่ เชียงราย ปัจจุบันยังปักปันชายแดนไม่แล้วเสร็จ จึงมีพื้นที่ที่ไม่ชัดเจนหลายแห่ง ก็ต้องมีการพูดคุยกันในคณะกรรมการชายแดนส่วนท้องถิ่น ไทย - เมียนมา (TBC) และยืนยันว่าไม่มีเดดไลน์อย่างที่เป็นข่าว

...

เมื่อถามว่า กระทรวงกลาโหมมีแนวทางอื่นหรือไม่ ในเมื่อการปักปันเขตแดนไม่สามารถทำได้ในพื้นที่ที่เกิดการสู้รบ เพื่อหาข้อสรุปในเรื่องนี้ พลเอกณัฐพล ระบุว่า ที่ผ่านมาก็มีอยู่แล้ว แม้ไม่มีแนวเขตแดน แต่เรามีเส้นปฏิบัติการที่กำหนดว่าทั้งสองฝ่ายจะอยู่กันบริเวณไหน เพื่อเป็นกรอบการปฏิบัติของแต่ละฝ่าย อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันเรามีคนไทยในการพูดคุยอยู่แล้ว และมีความแน่นแฟ้นกับชนกลุ่มน้อย แต่พื้นที่ตรงนั้น เป็นพื้นที่ที่เราไม่ได้พูดคุยกับเมียนมาโดยตรง มีชนกลุ่มน้อย ที่ประกอบด้วยหลายกลุ่มอยู่ตรงนั้น เราจึงใช้กลไกทั้ง TBC และกลไกอื่น ๆ เข้ามาเสริม

นอกจากนี้ พลเอกณัฐพล ยังฝากไปถึงสื่อโซเชียลที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ในประเด็นนี้ว่า ขอให้มั่นใจ กองทัพพร้อมปกป้องอธิปไตย และในการพูดคุยเราไม่ได้มองแค่ประเด็นด้านความมั่นคงหรือการทหารเพียงอย่างเดียว มีเรื่องการเมืองระหว่างประเทศ เศรษฐกิจ ผลกระทบต่อประชาชน การรบการปะทะกันน่ะง่าย แต่เรื่องความเดือดร้อนของประชาชนเมื่อเกิดขึ้นแล้ว ยากที่จะเยียวยา กองทัพจึงคำนึงถึงเรื่องนี้ แต่ไม่ได้หมายความว่า คำนึงจนอ่อนอย่างที่สังคมวิจารณ์ เมื่อไหร่ก็ตามที่เกี่ยวข้องกับอธิปไตย เราก็พร้อม ปฏิบัติการได้ทันที

ยันกลาโหมเดินหน้าปฏิรูปกองทัพ-สกัดรัฐประหาร ไม่จำเป็นต้องเขียนในร่างพ.ร.บ.กลาโหม

นอกจากนี้ พล.อ.ณัฐพล ยังกล่าวถึงการตรวจเยี่ยมกองบัญชาการกองทัพบก ว่า เป็นไปตามที่นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้มอบหมายให้มาติดตามขับเคลื่อนนโยบายกองทัพ ทั้ง 11 ข้อ หลังผ่านไปแล้ว 3 เดือนว่ามีความคืบหน้าไปมากน้อยแค่ไหน ซึ่งจะมีการติดตามทุกเรื่อง รวมไปถึงการปฏิรูปกองทัพ ซึ่งตามนโยบายของนายภูมิธรรม ที่มีการปรับโครงสร้างและการเปลี่ยนผ่านระบบเกณฑ์ทหารไปสู่การสมัครใจ พร้อมย้ำว่า กระทรวงกลาโหม มีความตั้งใจที่จะขับเคลื่อนการปฏิรูปกองทัพไปให้ได้ ซึ่งไม่ได้ทำเพราะฝ่ายค้านกระตุ้นหรือการเมืองกดดัน แต่ต้องดำเนินการตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏอยู่ และวันนี้ก็จะมาชี้แจงกับกองทัพบกให้เข้าใจถึงข้อเท็จจริงการปฏิรูปกองทัพและการปรับลดบางส่วน แต่ขึ้นอยู่กับเหล่าทัพจะพิจารณาดำเนินการต่อไป

ส่วนประเด็นการปรับย้ายนายทหารที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ พล.อ.ณัฐพล ย้ำว่า จากเสียงสะท้อนนายทหารที่จะเกษียณอายุราชการ ติดต่อเข้ามาว่าให้ช่วยทำความเข้าใจกับฝ่ายการเมืองว่าไม่มีความจำเป็น และไม่ควรมีข้อกำหนดในเรื่องของการปรับย้ายตามลักษณะที่ฝ่ายการเมืองกังวล ซึ่งก็รับความเห็นจากเหล่านั้นมาพูดคุยกับทางเหล่าทัพอีกที พร้อมย้ำถึงการพิจารณาการแก้ไขร่างพ.ร.บ.กลาโหม ว่าจะต้องรับฟังความเห็นจากหน่วยงานต่างๆไม่ใช่เฉพาะกลาโหมเท่านั้น เช่น สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) และกฤษฎีกา

ส่วนประเด็นที่เป็นเนื้อหาสาระเกี่ยวกับการป้องกันรัฐประหารที่อาจจะถูกเขียนไว้ในร่างพ.ร.บ.กลาโหม ก็มีอดีตนายทหารให้ข้อเสนอแนะว่าควรสร้างความเข้าใจในเรื่องนี้ เพราะไม่อยากให้มีข้อกำหนดเรื่องนี้ขึ้นมา ซึ่งตามกฎหมาย รัฐธรรมนูญ และกฎหมายอาญา ได้มีการกำหนดไว้ว่าหากมีการปฏิบัติการก็ต้องเป็นกบฏ เพราะฉะนั้นไม่จำเป็นต้องมากำหนดในร่างพ.ร.บ.กลาโหม

ส่วนจะมีการหารือและพบกันครึ่งทางระหว่างฝ่ายทหารและการเมืองในประเด็นนี้หรือไม่ พล.อ.ณัฐพล ระบุว่าจริงๆ แล้ว คำว่าพบกันครึ่งทาง อาจจะไม่ได้พบกันครึ่งทางในประเด็นนี้ แต่ยังมีประเด็นอื่นๆ ว่าจะรับได้หรือไม่ได้

เมื่อถามว่าร่างพ.ร.บ.กลาโหม ที่มีการนำไปทบทวนจะแล้วเสร็จเมื่อใดนั้น พล.อ.ณัฐพล จำว่าทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอน ซึ่งจากการพูดคุยล่าสุด คาดว่า อย่างช้าภายในเดือน ก.พ. 2568 ทั้งนี้ ก็ได้มีการเร่งรัดไปแล้ว ซึ่งตามขั้นตอนต้องสอบถามหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งภายในกระทรวงกลาโหม และฝ่ายความมั่นคง รวมไปถึงกฤษฎีกา จึงต้องให้หน่วยงานเหล่านี้ ตอบกลับในประเด็นนี้มาก่อน พร้อมต้องเชิญเหล่าทัพเข้ามาพูดคุย ซึ่งไม่ใช่ว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม หรือรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมว่าอย่างไร ต้องเป็นอย่างนั้น เพราะทุกอย่างต้องหารือร่วมกันทั้งหมด โดยเฉพาะเหล่าทัพ