“พิชิต ชื่นบาน” ยัน ต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญ ชงทำประชามติ 3 รอบ รื้ออำนาจศาล-องค์กรอิสระแปลกแยกอุดมการณ์ประชาธิปไตย ยึดประโยชน์ประชาชนเป็นหลัก

วันที่ 19 ธันวาคม นายพิชิต ชื่นบาน อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะนักกฎหมาย ให้ความเห็นต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญว่า ตนเห็นด้วยว่าเราต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยมุมมองของตนต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญ อาจเป็นความเห็นที่ต่างไปจากนักการเมืองท่านอื่น แต่ในฐานะนักกฎหมาย และประชาชนคนไทยคนหนึ่งที่รักและหวงแหนการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตนมีเจตนาบริสุทธิ์ที่ต้องการปกป้องและรักษาไว้ซึ่งความเป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ซึ่งประเด็นแรก ตนไม่เห็นด้วยกับการนำเอา “คำวินิจฉัยส่วนตน” ของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมาเป็นแนวทางในการทำประชามติ

เนื่องจากตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่ได้รับการแต่งตั้งเข้ามาตามรัฐธรรมนูญปี 60 ต่างทยอยครบวาระกันไปแล้ว การจะนำเอาความเห็นส่วนบุคคลของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่กำลังจะหมดหน้าที่ มาใช้เป็นแนวทางการจัดทำประชามติ ย่อมไม่ส่งผลดีต่อประโยชน์สาธารณะของประเทศ ทิศทางเดียวที่ประเทศจะได้รับประโยชน์สูงสุดก็คือ การยึดเอาคำวินิจฉัยกลางของศาลรัฐธรรมนูญ มาใช้ประกอบเป็นแนวทางการจัดทำประชามติทั้ง 3 ครั้ง เพราะตามคำวินิจฉัยกลางของศาลรัฐธรรมนูญ ยังไม่ได้วินิจฉัยไว้ว่า การร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะสามารถแก้ไขอำนาจศาล หรือองค์กรอิสระได้อย่างไร หรือไม่

“ผมขอเสนอหลักการ 3 ประตู สู่ประชามติ เพื่อประชาธิปไตย ที่จะนำมาซึ่งความสงบสุข ร่มเย็น อันแท้จริง โดยผมเห็นว่า ควรจัดทำประชามติ 3 ครั้ง ทั้งนี้เพื่อความรอบคอบในประเด็นข้อพิจารณาเพื่อให้เป็นตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ และเพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ที่แท้จริงของประชาชน ผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย โดยการทำประชามติครั้งที่ 1 เพื่อเป็นการขอความเห็นชอบต่อประชาชนว่า สมควรร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ โดยมีการแก้ไขเพิ่มเติมเพื่อให้มี สสร.เป็นผู้ทำหน้าที่ยกร่างรธน.หรือไม่ เนื่องจากรัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ให้เป็นหน้าที่ของ สส.และสว.เท่านั้น ครั้งที่ 2 เพื่อเป็นการขอความเห็นชอบต่อประชาชน โดยยกร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญมาตรา 256/1 หรือ หมวด 15/1 เพื่อให้เกิดความชอบธรรมในการจัดตั้ง สสร. และเพื่อให้เป็นไปตามมาตรา 256 (8) โดยจะไม่แก้ไข หมวด 1 บททั่วไป และหมวด 2 พระมหากษัตริย์ เท่านั้น แต่เพื่อให้เกิดความชอบธรรมในการแก้ไขหมวดอื่นๆ เช่น การแก้ไขอำนาจศาลหรือองค์กรอิสระที่ไม่อาจปฏิบัติหน้าที่สอดคล้องตามหลักการและอุดมการณ์ที่แท้จริงของการปกครองระบอบประชาธิปไตย จึงมีเหตุจำเป็นที่ต้องขอฉันทานุมัติจากประชาชนเสียก่อน เพื่อป้องกันการตีความในภายหลังว่า การร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ มีลักษณะที่ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ส่วนการทำประชามติครั้งที่ 3 เพื่อเป็นการนำเอาร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ทั้งฉบับที่ สสร.ยกร่างเสร็จแล้ว มาขอความเห็นชอบจากประชาชนเป็นครั้งสุดท้าย แม้การจัดทำประชามติแต่ละครั้ง จะต้องใช้เวลาและใช้งบประมาณจำนวนมาก แต่ผมมั่นใจว่าจะคุ้มค่ากับทั้งเวลาและงบประมาณที่ต้องเสียไป เพราะคุณค่าของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับใหม่ จะเป็นไปตามหลักการและอุดมการณ์ของระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ระหว่างทางของการเดินไปสู่จุดหมาย ความเห็นต่างย่อมเกิดขึ้นได้ ถนนอาจมีหลุม มีบ่อบ้าง ถือเป็นเรื่องปกติในวิถีประชาธิปไตย ผมอยากเห็นทุกฝ่ายร่วมกันหาทางออก โดยยึดประโยชน์ของประชาชนและประเทศเป็นหลัก และรักษาไว้ซึ่งความเป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย สุดโต่งกันเกินไป สุดท้ายการแก้ไขรัฐธรรมนูญมันจะไม่สำเร็จเอาครับ” นายพิชิตระบุ

...