“พ.ต.อ.ทวี” เชื่อมั่นเจ้าหน้าที่ทำถูกต้องปมชั้น 14 เป็นเรื่องดีได้แจง ป.ป.ช. ยัน “ยิ่งลักษณ์” กลับไทย ต้องเข้ากระบวนการ มอง “อันวาร์” ตั้ง “ทักษิณ” เพราะเห็นศักยภาพ
เมื่อเวลา 08.40 น. วันที่ 17 ธันวาคม 2567 พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ให้สัมภาษณ์ที่ทำเนียบรัฐบาล ถึงกรณีคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติแต่งตั้งองค์คณะไต่สวนข้อกล่าวหา นายสหการณ์ เพ็ชรนรินทร์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ และ พล.ต.ท.ทวีศิลป์ เวชวิทารณ์ นายแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง รวม 12 คน กรณีส่งตัวผู้ต้องขัง นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จากเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ไปรักษาที่โรงพยาบาลตำรวจโดยมิชอบ และให้นายทักษิณ อยู่รักษาที่โรงพยาบาลตำรวจจนกระทั่งครบ 180 วัน ทั้งที่ไม่ป่วยจริง ว่า ทราบข่าวแล้ว ส่วนตัวเชื่อมั่นทั้ง 12 คนที่ถูกระบุชื่อ เพราะได้เห็นหลักฐานแล้ว ปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบตามหลักวิชาชีพ
ขณะเดียวกัน พ.ต.อ.ทวี มองว่าเป็นเรื่องที่ดีที่ ป.ป.ช. รับเรื่องไว้ไต่สวน เพราะอยู่ในความสนใจของสังคม และจะทำให้บุคคลที่ยังไม่ส่งหลักฐานมอบข้อมูล ให้กับ ป.ป.ช. และตนเชื่อมั่นว่า ป.ป.ช. จะอยู่บนเหตุผลและข้อมูล เป็นเรื่องที่ดีประเด็นนี้จะเข้าสู่กระบวนการที่ชอบด้วยกฎหมาย และเป็นเรื่องดีที่ให้ผู้ที่ถูกระบุชื่อได้ไปชี้แจง
ผู้สื่อข่าวถามว่ากรมราชทัณฑ์เตรียมข้อมูลไว้พร้อมแล้วใช่หรือไม่ พ.ต.อ.ทวี กล่าวว่า ทุกคนมั่นใจ กระบวนการเรื่องป่วย ทั้งแพทย์และบุคลากรมีความมั่นใจ ตนเชื่อมั่นในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ทุกคน เพราะเขามีประวัติและผลงานเรื่องความซื่อสัตย์สุจริตทำงานตรงไปตรงมา ส่วนประเด็นว่าสุดท้ายก็เป็นฝ่ายปฏิบัติที่ถูกตรวจสอบ พ.ต.อ.ทวี ตอบว่า คงไม่ เพราะ ป.ป.ช. ก็เขียนระบุไว้อยู่แล้ว เพียงแต่เขามองว่าในขณะนั้นตนยังไม่ได้รับตำแหน่ง รมว.ยุติธรรม
...


เมื่อถามย้ำว่าเรื่องนี้เหมือนจะถูกตัดตอนอยู่ที่เจ้าหน้าที่ พ.ต.อ.ทวี กล่าวว่า ป.ป.ช.เป็นองค์กรที่จะต้องดำเนินการไต่สวน หากสืบสวนแล้วไม่มีมูลก็ไม่รับ ผู้สื่อข่าวถามต่อ พร้อมใช่หรือไม่เพราะประเด็นนี้อาจทำให้หลุดออกจากเก้าอี้ได้ พ.ต.อ.ทวี ระบุว่า ไม่ได้กังวล เรายึดมั่นในข้อเท็จจริงและหลักกฎหมาย นายทักษิณ ถูกควบคุมตามกฎหมาย เพียงแต่ไม่สะใจคนบางกลุ่ม อย่างเช่น รายงานของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ที่เคยกล่าวอ้าง ไม่เคยสอบบุคคลที่เกี่ยวข้องเลย เป็นเพียงการเรียกบุคคลแล้วเอาความคิดเห็น หากเอาความเห็นของคนที่อยู่ตรงข้ามมันก็จะปรากฏเช่นนั้น
ทั้งนี้ ยืนยันว่าโรคที่ปรากฏเกินกว่าศักยภาพของโรงพยาบาลราชทัณฑ์ เมื่อประเมินแล้วก็ส่งตัว ซึ่งเป็นไปตามกฎหมายที่ระบุว่าให้ส่งตัวโดยเร็ว ตนเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม ซึ่งเรื่องนี้ได้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมแล้ว หากใครที่ไม่พอใจประเด็นใดก็นำหลักฐานไปส่งให้ ป.ป.ช. ซึ่งเป็นองค์กรอิสระให้ตรวจสอบข้อเท็จจริง
ในคำถามว่ากังวลหรือไม่ต่อไปเจ้าหน้าที่จะเกียร์ว่างเนื่องจากทำแล้วจะต้องถูกตรวจสอบ พ.ต.อ.ทวี ตอบว่า ตนมาเป็น รมว.ยุติธรรม ไม่เคยทำอะไรเพื่อส่วนตัว และที่สำคัญ นายทักษิณ อยู่ในหลักเกณฑ์การถูกคุมขังของราชทัณฑ์ครบตามกฎหมาย ไม่ได้มีชั่วโมงไหนที่ไม่ได้อยู่ในที่คุมขังซึ่งหมายถึงเรือนจำ ซึ่งทุกสถานที่ไม่ใช่เฉพาะกรณีของ นายทักษิณ แต่ทุกที่ที่มีคนป่วย


ทางด้านคำถามหากประเด็นของ นายทักษิณ เคลียร์หมดแล้ว ถ้า น.ส. ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กลับมาจะง่ายขึ้นใช่หรือไม่ พ.ต.อ.ทวี กล่าวว่า ต้องเป็นไปตามกฎหมาย คือเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม เราพัฒนากระบวนการยุติธรรมอยู่แล้ว หากใครเห็นว่ากฎหมายนี้ไม่ดีหรือต้องมีการแก้ไข สามารถมาเสนอแนะได้
ส่วนกรณีที่ ดาโตะ เซอรี อันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย แต่งตั้งนายทักษิณ เป็นที่ปรึกษาประธานอาเซียน จะทำให้เหตุการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนใต้ดีขึ้นหรือไม่ รมว.ยุติธรรม ระบุว่า การแต่งตั้งให้นายทักษิณ เป็นที่ปรึกษา ไม่น่าจะเกี่ยวกับเหตุการณ์ในภาคใต้ แต่น่าจะเป็นเพราะนายอันวาร์ เห็นคุณค่าและศักยภาพ โดยเฉพาะขณะนี้อาเซียนเป็นภูมิภาคที่มีความสำคัญ ทั้งความมั่นคงด้านอาหาร ความหลากหลาย และภาคใต้เป็นจุดหนึ่งที่รัฐบาลต้องพัฒนา เพื่อให้เห็นว่าการเปลี่ยนผ่านจากความขัดแย้งต่างๆ เป็นพลวัตที่ทุกคนต้องมีส่วนร่วม และหนีไม่พ้นเรื่องการให้ความยุติธรรม การเยียวยา รวมถึงยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน ซึ่งตนเชื่อว่าเป็นเรื่องดีที่รัฐบาลมาเลเซียให้ความสำคัญ
เมื่อถามถึงกรณีกลุ่ม BRN ยื่นข้อเสนอให้รัฐบาลตั้งคณะเจรจาพูดคุยเพื่อสันติภาพ พ.ต.อ.ทวี กล่าวว่า เขาอยากให้มีการพูดคุย ซึ่งเป็นเรื่องนโยบายเราทำอยู่ แต่เราคงไม่ไปอยู่ใต้ใคร รัฐบาลก็มีทิศทาง หากมีการพูดคุยควรเปิดให้ประชาชนทุกภาคส่วนได้ร่วมพูดคุย การรับฟังประชาชนถือว่าสำคัญที่สุด ส่วนตัวเห็นว่าการแก้ปัญหาความขัดแย้ง ต้องแก้ด้วยรัฐศาสตร์ และการกระจายอำนาจ ซึ่งการพูดคุยก็เป็นกิจกรรมหนึ่ง สุดท้ายอยู่ที่การบริหาร และการคุ้มครองประชาชน.