“เอกนัฏ” ยันอยู่วง ครม. พร้อมยกมือหนุน พ.ร.ก.ทั้ง 2 ฉบับ ลั่น ไม่หวั่นไหว หลัง “ทักษิณ” เหน็บพรรคร่วมรัฐบาล เผย “พีระพันธุ์” จ่อลงพื้นที่น้ำท่วมภาคใต้ ยัน ความเดือดร้อนประชาชนไม่มีเส้นแบ่ง

วันที่ 16 ธันวาคม 2567 นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม สส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะเลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กล่าวถึงกรณี นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ระบุในงานสัมมนาพรรคเพื่อไทย (พท.) เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม ว่า ไม่ชอบอีแอบ จากกรณีที่มีรัฐมนตรีบางคนไม่ร่วมประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม หมายถึงพรรครวมไทยสร้างชาติหรือไม่ โดยนายเอกนัฏ ยิ้มก่อนจะตอบว่าตนไม่ทราบ

เมื่อถามว่าการที่ นายทักษิณ ออกมาพูดแบบนั้นจะส่งผลให้พรรคร่วมรัฐบาลหวาดระแวงหรือไม่ นายเอกนัฏ เผยว่า หากถามตนในฐานะเลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ ตนอยู่ในการเมืองมานาน ไม่เคยหวั่นไหวอะไรอยู่แล้ว เพราะขณะนี้มีโจทย์ภารกิจที่สำคัญที่ต้องทำ บางเรื่องที่เป็นเรื่องเล็กน้อยก็ปล่อยไป ที่สำคัญคืองานที่ต้องทำให้กับประเทศและงานก็ยากอยู่แล้ว ต้องทำแข่งกับเวลา ทางที่ดีก็ต้องจับมือกันทำงานให้ดีที่สุด

นายเอกนัฏ กล่าวต่อไปว่า ในที่ประชุม ครม. วันดังกล่าวตนอยู่ในที่ประชุม และเป็นผู้ที่ยกมือสนับสนุนพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) 2 ฉบับ พ.ร.ก.กำหนดภาษีส่วนเพิ่ม และ พ.ร.ก.การแก้ไข พ.ร.บ.การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย เพราะมองว่าเป็นเรื่องสำคัญของประเทศและเกี่ยวเนื่องกับกระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งจะรอช้าไม่ได้ และตนได้พูดในที่ประชุมว่าสนับสนุน รวมถึงมีข้อสังเกตส่วนตัวด้วยในฐานะที่เป็น รมว.อุตสาหกรรม ขอว่าการใช้เงินกองทุนเพิ่มขีดความสามารถ ใช้สิทธิประโยชน์ ซึ่งจะเป็นอาวุธอีก 1 ตัว ในการนำเงินก้อนนี้ไปดึงนักลงทุนใหม่ๆ มาได้ แต่สิ่งสำคัญคือเมื่อดึงมาแล้วประเทศไทยต้องได้ประโยชน์ เพราะฉะนั้น ตนไม่คิดว่าจะมีปัญหาอะไร และก็อยากทำงานเต็มที่อยู่

...

สำหรับเรื่องจุดยืนร่างแก้กฎหมาย พ.ร.บ.นิรโทษกรรม นายเอกนัฏ ระบุว่า พรรครวมไทยสร้างชาติมีจุดยืนชัดเจนมาตลอด ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่ร่วมรัฐบาลว่าต้องไม่สังฆกรรมกับผู้ที่จะออกกฎหมายเรื่องมาตรา 112 เพราะฉะนั้น เรื่องการนิรโทษกรรมต้องไม่ไปเกี่ยวข้องกับมาตรา 112 และการทุจริต รวมถึงอาญาร้ายแรง ซึ่งเป็นจุดยืนที่พรรคแสดงไว้ก่อนที่จะเข้าร่วมรัฐบาล ซึ่งทุกพรรคร่วมรัฐบาลที่รวมตัวกันเป็นรัฐบาลทุกวันนี้ก็ให้เกียรติกับจุดยืนที่ประกาศไว้ และเป็นคำมั่นสัญญาตั้งแต่ต้น ตราบใดที่เป็นแบบนี้ ก็ยืนยันเดินหน้าทำงาน ขอให้แยกกันออกก่อน ขอเอาเวลามาร่วมกันทำงานเพื่อประโยชน์ของประเทศจะดีกว่า

“พรรคร่วมรัฐบาลยังทำงานขับเคลื่อนไปด้วยกัน และมีเป้าหมายเดียวกัน อย่างผมเองเป็นรัฐมนตรี ด้านเศรษฐกิจ ก็มองว่าประเทศไทยบอบช้ำจากสถานการณ์เศรษฐกิจและยังไม่ฟื้น จึงต้องทำงานร่วมกับภาคเอกชนเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจและทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนดีขึ้น ใครจะว่าอย่างไรก็แล้วแต่ แต่ตัวเองจะให้คุยกับใครทำประโยชน์อะไรเพื่อส่วนรวม ผมก็ทำหมด”

ส่วนสถานการณ์น้ำท่วมพื้นที่ภาคใต้ ตนได้ให้ สส.ของพรรค ออกหน่วยตั้งครัวและทยอยส่งถุงยังชีพให้กับประชาชนที่ประสบอุทกภัย ซึ่งนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ มีกำหนดการลงพื้นที่ 1-2 วันนี้ โดยตนจะบินตามไปด้วย และจะรับช่วงต่อในการฟื้นฟู

นายเอกนัฏ กล่าวต่อไปว่า จากที่ตนตรวจสอบดูสถานการณ์ในช่วงเช้าวันนี้ จ.ชุมพร น้ำเริ่มแห้งแล้ว ส่วน จ.สุราษฎร์ธานี ยังมีน้ำท่วมเป็นจุดๆ แต่ที่หนักคือ จ.นครศรีธรรมราช ซึ่ง น.ส.พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล สส.นครศรีธรรมราช เขต 10 พรรครวมไทยสร้างชาติ อดีต รมว.อุตสาหกรรม ได้นำเรือออกไปช่วยเหลือประชาชนที่ติดอยู่ในบ้านทั้งคืน เพราะปริมาณขึ้นไปถึงชั้น 2 ของบ้าน และทำให้มีปัญหาเรื่องการสัญจรเป็นหลัก รวมถึงของที่เรานำไปช่วยเหลือก็เข้าไปไม่ถึง จึงได้ขอความช่วยเหลือจากฝั่งทหาร ซึ่ง พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม จะส่งเรือและกำลังพลเข้าไปช่วยเหลือ ยืนยันว่าเราติดตามสถานการณ์ 24 ชั่วโมง

เมื่อถามว่านายกรัฐมนตรีจำเป็นต้องลงพื้นที่หรือไม่ นายเอกนัฏ ระบุ เข้าใจว่านายกรัฐมนตรีมีกำหนดการที่จะลงไป ซึ่งขณะนี้แบ่งงานกันทำ แต่ที่สำคัญคือ สส.ในพื้นที่ เพราะเป็นหน้าด่านที่สำคัญ เวลาที่น้ำมากะทันหัน จึงฝากให้ สส.ทุกคน ช่วยกันรับมือ ทั้งนี้ การช่วยเหลือไม่ได้มีเส้นแบ่งพรรคการเมือง น้ำท่วมที่ไหนก็ช่วยที่นั่น ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ของพรรคร่วมรัฐบาลไหน แม้แต่พื้นที่ของพรรคประชาชน (ปชน.)

ในประเด็นคำถามว่าน้อยใจหรือไม่ที่นายกรัฐมนตรียังไม่ลงพื้นที่ นายเอกนัฏ ยิ้มพร้อมกล่าวว่า ไม่ได้คิดแบบนั้น เข้าใจว่าตัวแทนรัฐบาลและหน่วยทหารออกช่วยเหลือประชาชนตลอด สำหรับตนแล้วสิ่งสุดท้ายที่ควรคิดคือประเด็นการเมือง เพราะความเดือดร้อนของประชาชนไม่ได้แบ่งพรรคการเมือง ทุกคนเดือดร้อนเหมือนกันหมด.