“ชูศักดิ์” เผย ร่างกฎหมายนิรโทษกรรมฉบับเพื่อไทยเสร็จแล้ว รอให้ สส.พิจารณา ชี้ ต้องตีกรอบให้ชัด ไม่ให้ตีความภายหลัง แนะ แก้รัฐธรรมนูญพุ่งเป้าไปที่ สสร.

วันที่ 8 ธันวาคม 2567 นายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าการร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมของพรรคเพื่อไทย ที่จะเสนอเข้าไปประกบกับร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมของพรรคการเมืองอื่นในสมัยประชุมหน้า ที่จะเปิดสมัยประชุมวันที่ 12 ธันวาคม 2567 ว่า ขณะนี้การยกร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมของพรรคเพื่อไทย ถือว่าเสร็จแล้วในชั้นต้น โดยเนื้อหาใกล้เคียงกับร่างอื่นๆ ของพรรคต่างๆ ที่จะมุ่งเน้นไปที่ความผิดที่มีเหตุจูงใจทางการเมือง ความขัดแย้งทางการเมืองในอดีตตั้งแต่ปี 2548 จนถึงปัจจุบัน โดยจะกำหนดนิยามเหตุจูงใจทางการเมืองไว้ให้ชัดเจนเพื่อไม่ให้มีปัญหาตีความ

ทั้งนี้ จะรวมถึงความผิดเกี่ยวเนื่องอื่น ๆ เช่น ความผิดฐานฝ่าฝืนพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน (พ.ร.ก.ฉุกเฉิน), พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ, พ.ร.บ.รักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง เป็นต้น จะมีบัญชีแนบท้ายว่าความผิดอะไรบ้างที่จะได้รับการนิรโทษกรรม โดยให้มีคณะกรรมการขึ้นมาพิจารณาความผิดที่เข้าหลักเกณฑ์เพื่อให้เกิดความรอบคอบว่าความผิดอะไรเกี่ยวกับการเมือง อะไรไม่เกี่ยวข้อง คล้าย ๆ กับหลักการที่เคยศึกษามา หลังจากนี้จะนำเรื่องดังกล่าวเข้าสู่ที่ประชุมสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ของพรรคเพื่อไทย เพื่อให้ สส. ได้แสดงความคิดเห็นและให้มีความเห็นไปในทิศทางเดียวกัน ร่วมลงชื่อเสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป อย่างไรก็ตาม การพิจารณากฎหมายดังกล่าวคงไม่เกิดขึ้นทันทีตั้งแต่เปิดสมัยประชุมสภาฯ จึงมั่นใจว่าร่างของพรรคเพื่อไทยจะสามารถเสนอเข้าไปพิจารณาพร้อมกับร่างอื่น ๆ ได้ทัน

...

ส่วนคำถามว่าความผิดที่เกี่ยวกับการทุจริตจะได้รับการนิรโทษกรรมหรือไม่ นายชูศักดิ์ ระบุ ไม่อยากตอบว่าเกี่ยวหรือไม่เกี่ยว เพราะจะเอาเป็นประเด็นทางการเมือง คำตอบจะอยู่ว่าเป็นความผิดตามบัญชีแนบท้ายหรือไม่ เราต้องตีความเรื่องความขัดแย้งทางการเมืองและนิยามให้ชัด เพื่อไม่ให้เกิดการตีความในภายหลังอีก แต่เรื่องมาตรา 112 ที่ประชุม สส. มีมติไปตั้งแต่ปิดสภาว่าไม่รวม

สำหรับการพิจารณาร่างแก้ไขกฎหมายประชามติ นายชูศักดิ์ กล่าวว่า การจะยืนยันร่างเดิมหรือร่างที่กรรมาธิการร่วมพิจารณา ในส่วนของพรรคเพื่อไทยคงต้องไปหารือในวิปรัฐบาล แต่ความเห็นส่วนตัวเห็นว่าเราพิจารณากันในชั้นสภาผู้แทนราษฎร ยืนยันการลงมติเสียงข้างมากชั้นเดียวเป็นเอกฉันท์ พรรคคงต้องยืนตามนี้ซึ่งจะนำไปสู่การต้องยับยั้งร่างไว้เป็นเวลา 180 วัน และในสมัยประชุมที่จะเปิดขึ้นนั้น จะมีการประชุมรัฐสภาซึ่งน่าจะพิจารณาร่างกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ และร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นหลัก โดยร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้นมีหลายร่างมาก สะสมมาตั้งแต่สภาตอนแรก ๆ อันนี้คงต้องให้วิปสามฝ่ายหารือร่วมกันว่าจะเอาร่างใดบ้าง

นายชูศักดิ์ เผยต่อไป ส่วนตัวมองว่า หากเห็นว่าจะใช้สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) มาแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ ตามขั้นตอนนี้ ก็อยู่ในกระบวนการที่แต่ละฝ่ายกำลังดำเนินการกันอยู่ และเกี่ยวโยงไปถึงกฎหมายประชามติ จึงคิดว่าควรพุ่งเป้าไปสู่การตั้ง สสร. เพื่อดำเนินการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ จะดีกว่าหรือไม่ โดยประธานรัฐสภาและวิปควรหารือแนวทางที่จะให้บรรลุจุดมุ่งหมายดังกล่าวว่าจะต้องทำอย่างไรบ้าง หากจะพิจารณากันไปทีละร่างในตอนนี้ ก็ต้องคิดคำนึงว่ารัฐบาล พรรคฝ่ายค้าน ที่สำคัญคือสมาชิกวุฒิสภา (สว.) เห็นอย่างไร เพราะการพิจารณายังอยู่ในหลักทั่วไป เช่น ในวาระที่หนึ่งต้องมี สว. เห็นชอบไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 จะต้องได้เสียงจากรัฐสภาเกินกึ่งหนึ่ง จึงต้องหารือกันแบบเป็นเรื่องเป็นราวให้ชัดเจน ไม่อย่างนั้นก็จะเสียเวลาเปล่า.