“แพทองธาร” เผย ดินเนอร์พรรคร่วมรัฐบาล ชื่นมื่น พรรคภูมิใจไทย รับไม้ต่อเป็นเจ้าภาพครั้งหน้า โยนสภาฯ ปมแก้รัฐธรรมนูญ ยันไม่แตะ ม.112 ไม่กังวลมือมืดร้องยุบพรรคเพื่อไทย ย้ำ ข้อกล่าวหาไม่ตรงความจริง “ทักษิณ” ไม่ได้ครอบงำพรรค แต่เป็นการพบกันคุยกันของคนที่มีความสัมพันธ์ที่ดี
วันที่ 21 ตุลาคม 2567 เมื่อเวลา 20.00 น. ที่ชั้น 5 ห้องจัดเลี้ยง The Pavilion โรงแรมโรสวูด ถนนเพลินจิต กทม. น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) พร้อมด้วยหัวหน้าพรรคและแกนนำพรรคร่วมรัฐบาล ได้แถลงข่าวต่อสื่อมวลชน ภายหลังเป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารค่ำพรรคร่วมรัฐบาลเสร็จสิ้น โดยใช้เวลากว่า 2 ชั่วโมง ว่า บรรยากาศเป็นไปด้วยดี อิ่มอร่อย ถือว่าเป็นครั้งแรกที่ได้มารับประทานอาหารร่วมกัน ซึ่งขอบคุณสื่อมวลชนด้วยที่ช่วยเตือนเรื่องนี้ ซึ่งครั้งนี้ได้พูดคุยกันอย่างสบายๆ มีเรื่องที่อยากจะหารือก็ได้หารือกัน ซึ่งตกลงร่วมกันว่าจะมีดินเนอร์ร่วมกันในลักษณะนี้ต่อไป โดยครั้งหน้าพรรคภูมิใจไทยจะเป็นเจ้าภาพ
นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวอีกว่า วันนี้ได้มีการพูดคุยหลายเรื่อง ทั้งเรื่องที่จะทำงานร่วมกัน และตนเองได้ย้ำอีกครั้งว่า อยากคุยกับทุกคน เรื่องการทำงานอย่างใกล้ชิด เนื่องจากหลังเดินทางร่วมการประชุมเอเปคแล้ว ช่วงกลางเดือนพฤศจิกายน ก็จะเชิญทั้งหัวหน้าพรรคและแต่ละกระทรวงเข้ามาพูดคุย เพราะอยากทราบถึงปัญหา และแนวทางที่อยากจะทำงานร่วมกัน ซึ่งก็ได้แจ้งทุกคนไปแล้วว่าจะขอนัดแยก
ผู้สื่อข่าวได้ถามว่าในการรับประทานอาหารวันนี้ได้พูดคุยเรื่องนิรโทษกรรมว่าจะเดินหน้าต่อหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ทุกเรื่องมีทั้งเห็นตรงกันและไม่ตรงกันเพราะเป็นประชาธิปไตย แต่ทุกเรื่องสามารถตกลงกันได้ พูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันได้ ก็ให้ว่ากันต่อในสภาฯ รัฐบาลก็จะทำงานตรงนี้ต่อไป เมื่อถามว่าพอคุยเรื่องนี้ในที่ประชุม มีความเห็นอย่างไร นายกฯ กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อน บนโต๊ะรับประทานอาหารมีทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย เป็นเรื่องธรรมดา แต่ขอไม่ลงรายละเอียดไปมากกว่านี้ แต่ไม่มีเรื่องที่จะต้องทะเลาะเบาะแว้งกัน โดยจังหวะนี้นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ได้กระซิบข้างหลังนายกฯ ว่า เป็นเรื่องของรัฐสภาฯ
...
จากนั้นนายกฯ กล่าวต่อว่า ถ้าหากเสนอเรื่องนี้ไปที่สภาฯ จะเป็นเอกสิทธิ์ของพรรคร่วมรัฐบาล หรือเป็นเรื่องที่ต่างพรรคเสนอ ซึ่งยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจน แต่ที่เรามาร่วมกันวันนี้ ก็คุยกันอยู่แล้วว่าถ้าจะแก้ไขรัฐธรรมนูญ ก็จะเว้นหมวด 1 หมวด 2 ซึ่งเป็นสิ่งที่พูดกันมาตลอด และเป็นการตกลงที่ร่วมรัฐบาลกันได้ ซึ่งเรื่องนี้ค่อนข้างเห็นพ้องต้องกันมากๆ และยืนยันจุดยืน เราไม่แตะ ม.112 ซึ่งได้พูดไปทุกๆ เวที เมื่อถามว่าพรรคร่วมรัฐบาลเห็นพ้อง จะร่วมแก้รัฐธรรมนูญหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ยังไม่มีข้อสรุปว่าจะเป็นอย่างไร แต่ในรายละเอียดขอให้เป็นเรื่องของสภาฯ ไป แต่ก็คุยกันในกรอบว่ากังวลเรื่องใดบ้าง และมีลงไปถึงไปยังกระทรวงว่าอยากพัฒนาประเทศด้านใด แต่ก็เข้าใจความหมายตรงกัน
เมื่อถามถึงกรณีที่มีคนร้องคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เรื่องยุบพรรคเพื่อไทย นายกฯ กล่าวว่า ไม่ได้ตรงกับข้อกล่าวหา จึงไม่มีใครมีความกังวลเรื่องนี้ แล้ววันนี้ก็ได้ขอความร่วมมือพรรคร่วมรัฐบาลไปหลายเรื่อง แต่ขอความร่วมมือในเรื่องการทำงานมากกว่า เพราะตนเองก็เป็นนายกรัฐมนตรีได้ไม่นาน อยากให้ทุกคนได้คุยกัน และคิดว่าการสื่อสารสำคัญที่สุด ไม่ว่าจะสื่อสารกันเองใน ครม. ในพรรคร่วมรัฐบาล หรือกับประชาชน จึงได้ขอความร่วมมือเรื่องนี้ไป ให้ลดกำแพงการสื่อสารให้มีความง่ายมากขึ้น ส่วนนอกนั้นก็เป็นเรื่องคลายเครียด เรื่องสนุก ตลกกัน ไม่มีอะไร ถือเป็นบรรยากาศที่ดีมาก และเดือนหน้าจะเป็นคิวของพรรคภูมิใจไทยที่เป็นเจ้าภาพ แต่ตนเองจะขอนัดพบวงเล็กกับหัวหน้าพรรค รวมถึงแต่ละกระทรวง เพื่อจะได้รู้ว่าใครอยากทำอะไรบ้าง เรื่องไหนที่คุยกันได้ก็ต้องคุย มีทั้งคุยกลุ่มเล็กและเป็นคู่ จึงไม่ต้องห่วง
เมื่อถามว่าจะแก้ข้อกล่าวหาอย่างไรที่คนร้องอ้างว่า นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีครอบงำเพื่อไทย นายกฯ กล่าวว่า ถ้ากฎหมายบอกว่าจะให้ความร่วมมือก็ต้องให้ความร่วมมือ ไม่มีอะไรต้องห่วง ผู้สื่อข่าวได้ถามต่อว่าส่วนที่นายสรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ในฐานะเลขาธิการพรรคเพื่อไทย บอกว่าสาเหตุที่พรรคเพื่อไทยโดนร้องเพราะเขี่ยพรรคพลังประชารัฐออกจากพรรคร่วมรัฐบาลนั้น นายกฯ ได้หันไปหานายสรวงศ์ พร้อมกันถามกลับว่า สรวงศ์คนนี้เหรอ ทำให้นายสรวงศ์ แหวกหน้าพูดขึ้นว่า ไม่น่าใช่ตนเอง และถามกลับผู้สื่อข่าวว่า ให้สัมภาษณ์กับใครไป ยืนยันว่าไม่ได้พูด แต่เหตุผลนี้ก็อยู่ใน 5 ข้อคำร้อง นายกฯ กล่าวต่อว่า การไปทานข้าวกับนายทักษิณ ถือเป็นการครอบงำหรือไม่ และสมมุติว่าตนเองไปทานข้าวกับคนอื่น เช่น นายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกฯ จะเป็นการครอบงำหรือเปล่า ซึ่งไม่แน่ใจว่าความสัมพันธ์ที่ดี ไม่ใช่การครอบงำ และตนเองเชื่อว่าหลายคนในที่นี้ รักและเคารพนายทักษิณ แต่บางทีก็ไม่ได้คุยเรื่องการเมืองกันด้วยซ้ำ แต่คุยการเมืองเมื่อ 20 ปีที่แล้ว เป็นการคุยของคนที่มีความสัมพันธ์ที่ดีกัน
เมื่อถามว่าการร้องครั้งนี้จะทำให้ต้องสะดุดจากเก้าอี้นายกฯ เหมือนนายเศรษฐาหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ทุกคนมีความคิดเป็นของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นพรรคไหน ก็มีกรรมการบริหารพรรค ต้องให้คำปรึกษา ถ้าไม่มีความเห็นด้วย ก็ครอบงำไม่ได้อยู่ดี ไม่มีใครครอบงำได้ พรรคต้องคุยกันเอง ตกลงกันเอง ในทุกเรื่อง ถ้าจะพูดว่าการติดต่อกับนายทักษิณ ซึ่งวันนี้กลับมาอยู่ประเทศไทยแล้ว คือการครอบงำ ก็ต้องครอบงำไปทุกเรื่องแล้ว ถ้าคุยกับนายทักษิณปุ๊บเป็นการครอบงำ มันก็คงไม่ได้แล้ว