“สุระ” มอง ผลพวงศาลรัฐธรรมนูญ ชี้ชะตา “เศรษฐา” มีทั้งในมุมหลุด-ไม่หลุดตำแหน่ง หากผลออกทางลบ มั่นใจพรรคร่วมหาฉันทานุมัติเสนอชื่อแคนดิเดตคนเดียว มอง มีปรับ ครม.แน่ พร้อมย้ำเป็นอำนาจนายกฯ โดยตรง
วันที่ 4 สิงหาคม 2567 นายสุระ เตชะทัต เลขาธิการพรรคพลังบูรพา กล่าวถึงกรณีวันที่ 14 สิงหาคม 2567 ศาลรัฐธรรมนูญ นัดอ่านคำวินิจฉัยคุณสมบัติความเป็นรัฐมนตรีของ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี จะต้องสิ้นสุดลงหรือไม่ จากการแต่งตั้ง นายพิชิต ชื่นบาน เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี หากออกมาในทางลบ จะส่งผลต่อเสถียรภาพรัฐบาลหรือไม่ ว่า ผลคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญยังไม่ออกมา ปัจจุบันมีการคาดการณ์ออกไปในมุมต่างๆ ทั้งในทิศทางที่เป็นบวก กับทิศทางที่เป็นลบ แต่ดูเหมือนในวันนี้กระแสนักวิจารณ์จะมองไปในทิศทางลบไปก่อน ตามกฎหมายหาก นายเศรษฐา หลุดจากความเป็นนายกรัฐมนตรี ทำให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) ต้องหลุดไปด้วย
นายสุระ เผยต่อไปว่า ตามที่มีการวิเคราะห์มุมมอง หากผลออกมาในทางที่ไม่สู้ดีนัก พรรคร่วมรัฐบาลมีรายชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีหลายคน แต่เชื่อว่าสุดท้ายแล้ว พรรคร่วมรัฐบาลคงจะให้เกียรติพรรครัฐบาลเสียงข้างมากที่สุดเสนอชื่อมาก่อน และน่าจะมีการตกลงเสนอชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีเพียงคนเดียว เพื่อมาให้ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรโหวต หากผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อ ได้รับเสียงโหวตจากที่ประชุมเกินกึ่งหนึ่ง จะได้เป็นนายกรัฐมนตรี แล้วฟอร์ม ครม. ทำหน้าที่ต่อไป แต่ถ้าไม่เกิดกรณีดังกล่าว นายเศรษฐา กับ ครม. ทำหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินแก้ปัญหาให้ประชาชนต่อไป แต่ไม่ว่าอย่างไรอย่าเพิ่งคาดการณ์มองไปล่วงหน้า ต้องรอให้มีคำวินิจฉัยจากศาลรัฐธรรมนูญออกมาก่อนดีกว่า
ในตอนท้าย เลขาธิการพรรคพลังบูรพา ยังระบุด้วยว่า ผลกระทบจากการตัดสิน 2 คดีสำคัญในเดือนสิงหาคม ยังถูกมองว่าจะมีการเร่งปฏิกิริยาให้ปรับ ครม.เร็ววัน โดยนำบางพรรคการเมืองที่ไม่ได้เป็นพรรคร่วมรัฐบาลปัจจุบันมาร่วมงาน เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้รัฐบาล ในทางการเมืองมีทั้งความเป็นไปได้และเป็นไปไม่ได้ เพียงแต่ในตอนนี้ผลจากการตัดสินคดียังไม่เกิดขึ้น เลยไม่รู้ว่าสิ่งที่นักวิเคราะห์มองจะเป็นไปตามนั้นหรือไม่ ส่วนตัวเชื่อว่า รัฐบาลถึงอย่างไรต้องมีการปรับ ครม. เพียงแต่ไม่รู้ว่าจะช้าหรือเร็ว ปรับเล็กหรือปรับใหญ่ ช่วงเวลาไหน เพราะเรื่องดังกล่าวนายกรัฐมนตรีที่เป็นผู้นำรัฐบาลย่อมรู้ดีที่สุด ควรจะปรับตรงไหน อย่างไร อีกทั้งเรื่องนี้เป็นอำนาจของนายกรัฐมนตรีโดยตรง.
...