“นายกฯ-อนุทิน” หัวเราะร่วน หลังถูกถามปมนายกฯสำรอง บอกรู้จักกันมานาน ไม่ต้องมาอธิบาย ไม่มีน้อยใจ ลั่น 314 เสียงมั่นคงแล้ว ยังไม่มีคุยเพิ่มพรรคร่วมรัฐบาล ด้านเสี่ยหนู เผย นั่งตัวลีบแล้วถามแบบนี้

วันที่ 3 ส.ค. 2567 นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีให้สัมภาษณ์กรณีที่มีชื่อนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทยเป็นนายกฯ สำรอง โดยนายอนุทินที่นั่งอยู่ข้างๆ หัวเราะพร้อมกล่าวว่า นั่งตัวลีบอยู่อย่างนี้ ขณะที่นายกฯ หัวเราะพร้อมกล่าวว่า เราคุยกันตลอดเวลา ไม่ได้มีปัญหาอะไร ทุกอย่างว่าไปตามกลไก ตนกับนายอนุทินเรารู้จักกันมานานมากไม่ต้องมาอธิบายให้ฟัง ไม่มีการน้อยใจ เรื่องเหล่านี้ไม่มีอยู่แล้ว นายอนุทินก็สบายใจอยู่แล้ว เรื่องการเมืองก็ส่วนการเมืองไป 

เมื่อถามว่า คิดถึงที่มาที่ไปของข่าวนี้หรือไม่ว่าทำไมถึงมีการจุดกระแสข่าวนี้ นายกฯ กล่าวว่า เป็นธรรมดาเรื่องการเมือง ซึ่งตนก็ไม่นึกว่าก่อนเข้าการเมืองว่าจะมีเรื่องแบบนี้ แต่นายอนุทินก็ทราบอยู่ว่ามีเรื่องแบบนี้ตลอดเวลา และก็เป็นเรื่องของคดีที่จะถูกตัดสินในวันที่ 14 ส.ค.นี้ แต่อย่างที่บอกไปว่า 314 เสียง หรืออาจจะมากกว่านั้นด้วย ฉะนั้นมีความมั่นคงอยู่แล้วในตัวของมันเอง 

เมื่อถามว่า มีแนวโน้มจะมีพรรคอื่นเข้ามาเพิ่มด้วยหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ไม่มีการพูดคุย เพราะ 314 เสียงมั่นคงอยู่แล้ว เราก็บริหารจัดการ ซึ่งเดี๋ยวกลับไปนายอนุทินก็ไปร่วมฟังสวดอภิธรรมศพคุณแม่ตน ทุกอย่างเป็นไปตามมิตรภาพอันดีที่มีให้กัน ส่วนการแข่งขันด้านการเมืองก็มีเรื่องของมันไป อีก 3 ปีก็แข่งขันกันไป ก็ขึ้นเวทีแถลงผลงานของแต่ละคนเป็นธรรมดามากกว่า แต่ที่เราอยู่ตรงนี้เพราะประชาชน วันเสาร์-วันอาทิตย์ก็ต้องทำงานเท่านั้นเองอย่าคิดมาก เราดูจากเหตุและผลจะดีกว่า

...

เมื่อถามว่า นายกฯ พูดขนาดนี้แล้ว กระแสข่าวนี้จะหายไปได้หรือยัง นายกฯ กล่าวว่า เดี๋ยวสื่อมวลชนก็ถามตนอีก ก็ต้องมาตอบอีก เป็นธรรมดา 

ขณะที่นายอนุทิน กล่าวว่า คนออกข่าวลืออยู่ที่ไหนแต่คนที่ถูกกล่าวถึงนั่งนิ่ง นายกฯ ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นทุกวัน ผู้สื่อข่าวเลยแซวว่าถามเรื่องนี้ต่อหน้าตนเอง เกร็งหรือไม่ นายอนุทิน บอกว่า ไม่เกร็งได้ยังไง นั่งจนตัวลีบแล้วตอนนี้ 


นายกฯ กล่าวย้ำอีกว่า เรามาทำงาน เรามีจุดประสงค์เดียวกัน ตนก็เชื่อว่าที่นายอนุทินมาอยู่ตรงนี้ก็ทำเพื่อประชาชน ปัญหาเหล่านี้ที่แทรกเข้ามาก็เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา เรื่องนี้ไม่ต้องพูด ไม่รู้ว่าข่าวมาจากไหนแต่ก็ทราบจุดประสงค์กันดีอยู่แล้ว