“ณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์” เผยวันนี้ “อธิบดีกรมประมง” เข้าชี้แจง อนุ กมธ.สภาฯ คาด คืบหน้าประเด็นส่งซาก “ปลาหมอคางดำ” มอง บริษัทกล่าวอ้างคนอื่นลักลอบนำเข้า ข้อเท็จจริงมีเพียงเจ้าเดียว แนะ วางแผนทำงาน หากปล่อยปลากะพงขาวแล้วเร่งจับ อาจแก้ไม่ถูกจุด 

วันที่ 18 กรกฎาคม 2567 นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ สส.กทม. พรรคก้าวไกล ในฐานะรองประธานคณะอนุกรรมาธิการ พิจารณาศึกษาสาเหตุและแนวทางการแก้ไขปัญหา รวมถึงผลกระทบจากการนำเข้าปลาหมอคางดำ ให้สัมภาษณ์ก่อนการประชุมคณะอนุกรรมาธิการฯ วันนี้ว่า วันนี้ นายบัญชา สุขแก้ว อธิบดีกรมประมง มาร่วมชี้แจง ซึ่งจะทราบรายละเอียดที่แน่ชัดว่าการนำเข้าตั้งแต่ปี 2553 และข้อมูลที่บริษัทเอกชนชี้แจงนั้นเป็นอย่างไร รวมทั้งการโต้กันไปมา ระหว่างกรมประมงและบริษัทเอกชน ถึงเรื่องการได้รับซากปลา 50 ตัว ซึ่งตนเห็นว่าหากบริษัทเอกชนยืนยันว่าได้ส่งแล้ว ก็อยากจะให้นำเอกสารส่งมอบต้นฉบับมามอบให้กับกรมประมง ส่วนกรมประมงที่ยืนยันว่าไม่ได้รับก็คงไม่มีเอกสารตัวนั้นอยู่แล้ว

ส่วนที่บริษัทเอกชนออกมาตั้งคำถามว่า เหตุใดระยะเวลา 14 ปีที่ผ่านมา ซึ่งจะมีปลาหมอคางดำมาระบาด ตนเห็นว่าน่าจะเป็นเรื่องที่เข้าใจผิด ความจริงคือระบาดมาทั้งหมด 14 ปีแล้ว เพียงแต่ตอนนี้มีการปะทุมากยิ่งขึ้น จาก 5 จังหวัด เป็น 10 เป็น 16 จังหวัด ซึ่งการที่เอกชนชี้แจงว่าปลา 2,000 ตัว เหลือเพียง 600 ตัว และทยอยตายนั้น วันนี้ตนไม่เห็นซากปลา มีแต่เพียงตัวอักษรที่บริษัทพิมพ์ส่งมาให้ ส่วนที่บอกว่าบริษัทเอกชนรายใหญ่ทำถูกกฎหมายการนำเข้า แต่อาจมีบริษัทอื่นลักลอบทำ ก็เป็นการกล่าวอ้างที่ใครก็สร้างได้ ซึ่งวันนี้เมื่อเรื่องเกิดแล้วก็ต้องดูตามข้อสันนิษฐานตามข้อเท็จจริงที่มี นั่นคือสิ่งที่กรมประมงชี้แจงว่าตั้งแต่ปี 2553 มีการอนุญาตให้กับบริษัทเอกชนรายนี้เพียงรายเดียว 

...

ขณะที่การรับซื้อของภาครัฐ ยังเป็นข้อกังวลอยู่ แม้ว่าจะมีการเร่งดำเนินการทุกด้าน แต่ก็ไม่ควรที่จะลืมเรื่องการวางแผน เพราะที่ตนทราบมา จะมีการปล่อยปลากะพงขาว 90,000 ตัว ไปล่าปลาหมอคางดำ ขณะเดียวกันก็อนุญาตให้ใช้เร่งจับปลาหมอคางดำ ตนก็คิดว่าจะไปจับถูกปลาที่ปล่อยไปด้วยหรือไม่ ซึ่งตนคิดว่าเรื่องนี้จะต้องมีไทม์ไลน์ที่ชัดเจน ว่าจะต้องมีการเร่งมือจับปลาช่วงใด ปล่อยปลากะพงช่วงใด 

นายณัฐชา กล่าวถึงการที่ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี รวมไปถึง ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ออกมาแถลงถึงปัญหาดังกล่าวที่จะต้องมีการจัดการอย่างจริงจัง จึงคิดว่าควรมีการขยับที่มากขึ้น ด้านคณะอนุกรรมาธิการก็ทำได้เพียงศึกษา หางานวิจัยและต้นตอของเรื่องนี้ โดยย้ำว่า เราไม่สามารถส่งต่อระบบนิเวศที่บกพร่องให้คนรุ่นต่อไป และอาจจะทำให้คนรุ่นหลังได้เห็นภาพปลาท้องถิ่นในหนังสือก็เป็นได้ อีกทั้งตนคิดว่าเรื่องนี้ไม่ใช่หน้าที่กรมใดกรมหนึ่ง ซึ่งอำนาจในการดำเนินคดี บังคับใช้กฎหมาย ก็ต้องอยู่กับภาครัฐที่จะต้องทำ