ประชุมสภา อภิปรายงบประมาณ 2568 วันสุดท้าย “เจษฎา” สส.ก้าวไกล ชี้ข้อห่วงกังวลการบริหารจัดการน้ำ ด้าน “ชัยชนะ” ตั้งฉายารัฐบาลนักวิ่งราวทรัพย์ กู้เงินมาแจกดิจิทัลวอลเล็ต แล้วเคลมว่าเป็นผลงาน
วันที่ 21 มิถุนายน 2567 เข้าสู่วันสุดท้ายของการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 26 ปีที่ 1 ครั้งที่ 2 (สมัยวิสามัญ) เป็นพิเศษ และวันสุดท้ายของการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 จำนวน 3,752,700 ล้านบาท ในวาระแรก หลังพักการประชุมไปเมื่อเวลา 22.36 น. ของวันที่ 20 มิถุนายน ที่ผ่านมา โดยคืนนี้จะมีการลงมติของที่ประชุมสภาว่าจะรับหลักการหรือไม่ หากรับหลักการก็จะเข้าสู่การตั้งกรรมาธิการวิสามัญ และกำหนดกรอบเวลาในการแปรญัตติ โดยหลังจากลงมติเสร็จสิ้นประธานสภาผู้แทนราษฎร จะอ่านพระราชกฤษฎีกาปิดประชุมสมัยวิสามัญแห่งรัฐสภา พ.ศ. 2567
เมื่อเวลา 09.00 น. นายปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 ทำหน้าที่ประธานการประชุม ได้กล่าวเปิดการประชุมในวันที่ 3 โดยสรุปเวลาที่ใช้ไปแล้ว ดังนี้ คณะรัฐมนตรีและพรรครัฐบาล ใช้เวลาไปแล้ว 12 ชั่วโมง 18 นาที ในจำนวนนี้เป็นเวลาของ ครม. 4 ชั่วโมง 20 นาที พรรคร่วมรัฐบาลใช้ไป 7 ชั่วโมง 57 นาที เหลือเวลา 7 ชั่วโมง 41 นาที ส่วนพรรคร่วมค้านใช้ไป 13 ชั่วโมง 4 นาที เหลือ 6 ชั่วโมง 56 นาที ส่วนประธานใช้เวลาไป 23 นาทีจาก 1 ชั่วโมงที่ได้รับการจัดสรร ทั้งนี้ เหลือเวลารวมทุกฝ่ายแล้ว 15 ชั่วโมง 14 นาที จากกรอบเวลาทั้งหมด 41 ชั่วโมง
...
จากนั้นเรียก นายเจษฎา ดนตรีเสนาะ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ปทุมธานี พรรคก้าวไกล อภิปรายเป็นคนแรกของวันในเรื่องการจัดการน้ำปี 2568 ว่า วิกฤติที่ไทยต้องเจอในครึ่งปีแรกคือเอลนีโญ ภาวะโลกเดือด อากาศร้อนจัด ฝนทิ้งช่วงนาน น้ำระเหยเร็ว หลายแห่งน้ำแห้งขอด ขาดแคลนน้ำดิบในการผลิตประปาและการเกษตร รวมถึงน้ำเค็มรุกล้ำ และครึ่งปีหลัง ต้องเจอกับลานีญา ที่จะทำให้มีฝนตกมากว่าปกติ และอาจเผชิญน้ำท่วมหนักในหลายพื้นที่ แต่เมื่อดูการจัดทำงบประมาณ 2568 พบว่าน่าห่วงกังวลหลายเรื่อง
1. ไม่ตอบโจทย์ปัญหาขาดแคลนน้ำ
2. การจัดการน้ำเพื่อการเกษตรไม่เพียงพอ
3. การจัดการน้ำท่วมและอุทกภัยไม่ครอบคลุม
4. ไม่สนใจเรื่องคุณภาพน้ำบาดาล
พร้อมเสนอแนะ 3 ข้อ
1. มีระบบบริหารข้อมูลและประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ
2. มีการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำโดยท้องถิ่น
3. รวมโครงการต่างๆ ไว้ในแผนบูรณาการ และมุ่งสู่เป้าหมายของประเทศอย่างจริงจัง
ต่อมาเวลา 09.19 น. นายชัยชนะ เดชเดโช สส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายว่า งบกลางที่เพิ่มขึ้น 200,000 ล้านบาท ไปเพิ่มเพื่อรองรับโครงการดิจิทัลวอลเล็ตถึง 152,000 ล้านบาท แต่ก็ยังเป็นวงเงินที่ไม่เพียงพอที่จะแจกประชาชนตามนโยบายรัฐบาล พร้อมขอตั้งฉายารัฐบาลนักวิ่งราวทรัพย์ ตั้งวงเงินชดเชยกว่า 865,000 ล้านบาท โดยเอาประชาชนและประเทศเป็นผู้ค้ำประกัน แล้วเอาเงินที่กู้มาแจกประชาชน บอกว่าเป็นผลงานรัฐบาล อีกทั้งปีนี้ยังมีการตั้งกรอบประมาณขาดดุลสูงสุดในรอบ 36 ปี ซึ่งเป็นนัยที่ส่งผลต่อวินัยการเงินการคลังของประเทศในระยะยาว
สิ่งที่น่ากังวลคือ ตั้งงบประมาณไว้ใช้หนี้ภาครัฐ 400,000 ล้านบาท เป็นเงินต้นแค่ 150,000 ล้านบาท เสี่ยงทำประเทศขาดความน่าเชื่อถือ หนี้สาธารณะก็สูง 7.9% อาจส่งผลประเทศเกือบเจ๊ง รัฐบาลต้องกลับไปทบทวนให้ดี และตั้งคนต้องพิจารณาให้ดีในการตั้งมาทำงานส่วนต่างๆ
ขณะที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีงานเพิ่ม แต่ไม่มีงบประมาณ อีกสิ่งที่น่าผิดหวังและน่าช้ำใจคือในปี 2567 องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ต้องรับถ่ายโอนโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบล (รพ.สต.) แต่เมื่อรับมาแล้วรัฐบาลกลับอุดหนุนงบประมาณไม่เป็นตามที่ระบุไว้ เหมือนเป็นการต้มกัน หนักไปกว่านั้น อัตรากำลังบุคลากรก็ไม่เพียงพอ ซ้ำเงินอุดหนุนเฉพาะกิจก็ไม่สามารถขอได้
นายชัยชนะ เสนอว่า นายกรัฐมนตรี ควรประกาศว่า ท้องถิ่นไทยในอนาคตต้องเข้มแข็งกว่านี้ เดินหน้าพัฒนาประเทศพร้อมกับรัฐบาล เพราะไม่มีใครทราบปัญหาพื้นที่เท่าส่วนท้องถิ่น โดยขอให้เปลี่ยนแปลงสูตรงบประมาณให้ส่วนกลาง 60% และให้ท้องถิ่น 40% โดยในช่วงท้าย ยังขอให้รัฐบาลเพิ่มงบประมาณกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เพิ่มขึ้น เพื่อแก้ปัญหาชลประทานและการเกษตร ก่อนจบการอภิปรายในเวลา 09.39 น.
(อ่านร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ 2568 โดยสังเขป)