“ณัฐพล” สส.ก้าวไกล ชี้ รัฐบาลกำลังหลงทางเรื่องซอฟต์พาวเวอร์ มอง 10 เดือน แทบไม่เห็นผลงานอะไร ย้ำ อย่าเห็นเป็นผลิตภัณฑ์หนึ่งเพื่อหารายได้จากการท่องเที่ยว
เมื่อเวลา 14.37 น. วันที่ 19 มิถุนายน 2567 เข้าสู่การอภิปรายของ นายณัฐพล โตวิจักษณ์ชัยกุล สส.เชียงใหม่ พรรคก้าวไกล ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 26 ปีที่ 1 ครั้งที่ 2 (สมัยวิสามัญ) เป็นพิเศษ ซึ่งร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 จำนวน 3,752,700 ล้านบาท โดยอภิปรายเน้นในเรื่องของซอฟต์พาวเวอร์ (Soft Power) เข้าใจรัฐบาลว่าต้องการใช้ซอฟต์พาวเวอร์ยกระดับ เพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจให้ได้เหมือนกับหลายๆ ประเทศอื่นๆ แต่ที่ผ่านมา 10 เดือนยังแทบไม่เห็นผลงานอะไรจากซอฟต์พาวเวอร์ และจากการดูในร่างงบประมาณ 2568 ก็มองว่ารัฐบาลยังหลงทางอยู่
นายณัฐพล ระบุต่อไป ส่วนตัวมองว่า ซอฟต์พาวเวอร์คือเรื่องของความรู้สึกที่คนไทยทุกคนต่างยอมรับในสิ่งนี้ เป็นความรู้สึกที่ชาวต่างชาติมองมาแล้วว้าวกับมัน ต้องว้าวถึงขั้นอยากจะเป็นคนไทย อยากพูดภาษาไทย อยากซื้อสินค้าไทย อยากซื้อสินค้าไทย อยากให้ชีวิตแบบคนไทย หรือต่อให้อยู่ที่ประเทศของเขาก็อยากจะเสพสื่อต่างๆ จากประเทศไทย พร้อมถามว่า ความรู้สึกนี้รัฐบาลหาเจอหรือยัง ซึ่งหากยังไม่เจอ ก็มองว่ากำลังหลงทาง โดยแบ่งเป็น 4 ข้อดังนี้
...
หลงทางที่ 1 คือ หลงทางเพราะรัฐบาลไม่เตรียมการบ้านมา (คิดไปทำไป) ฝ่ายค้านตามหาเงิน 5,000 ล้านบาท ที่รัฐบาลจะทำซอฟต์พาวเวอร์ 11 ด้าน ว่าเอามาจากไหน แต่พบเป็นเพียงแค่แผนที่หน่วยงานและภาคเอกชนเสนอเข้ามา รวมได้กลมๆ ที่ 5,000 ล้านบาท พร้อมยกตัวอย่างงานสงกรานต์ สาดน้ำตลอดเดือนเมษายน 2567 นายกรัฐมนตรีควักงบกลางออกมา 104 ล้านบาท โดย 72 ล้าน ให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา จัดงานที่ท้องสนามหลวง ที่เหลือ 32 ล้าน กระจายไป 16 จังหวัด จังหวัดละ 2 ล้านบาท อีกทั้งยังได้พบเห็นโครงการทำแอปพลิเคชัน OFOS ในเอกสารกองทุนหมู่บ้าน 96 ล้านบาท เพื่อลงทะเบียนเลือกซอฟต์พาวเวอร์ที่ถนัด 3 ด้าน และรัฐจะส่งหลักสูตรให้ประชาชนเรียน ต่อมามีการส่งไปยังอีกหน่วยงาน ซึ่งงบประมาณในการดำเนินงานก็ลดลงกว่า 50 ล้านบาท
หลงทางที่ 2 เน้นจัดงานเป็นหลัก อาจจะมองว่าวัดผลงาน มีผลงาน แต่กลัวว่างานในลักษณะนี้จะกลับมาอีกครั้ง เช่น กินปาท่องโก๋มากที่สุดในโลก ใส่กางเกงช้างมากที่สุดในโลก เป็นต้น เพราะถูกมองว่าเป็นงานซอฟต์พาวเวอร์ด้านการท่องเที่ยวอย่างหนึ่ง จึงต้องถาม ททท.ให้ชัดเจน เพราะได้งบประมาณไป 6,200 ล้านบาท ขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรีพยายามดึงงานระดับโลกเข้ามาจัดในไทย แต่ยังไม่มีใครคอนเฟิร์ม อีกทั้งล่าสุดยังโดนปฏิเสธการจัดงาน World Pride 2028 แต่รัฐบาลยังพยายามจะเสนอเป็นเจ้าภาพอีกครั้งในปี 2030
หลงทางที่ 3 การจัดสรรงบประมาณในงานสร้างสรรค์ต่างๆ พร้อมยกตัวอย่าง เกาหลีใต้ใส่คอนเทนต์ในอาหาร จนคนต่างชาติอยากทาน นี่คือซอฟต์พาวเวอร์ แต่รัฐบาลกลับโยนงบประมาณลงไปทำโครงการ 1 หมู่บ้าน 1 เชฟ ถามว่าโครงการนี้จะสร้างซอฟต์พาวเวอร์ให้ไทยอย่างไร ซึ่งต่างชาติรู้จักอาหารไทย ถ้าเป็นตนเองอยากเอางบประมาณไปทำคอนเทนต์ สร้างดีมานด์ในอาหารไทย มากกว่าการเพิ่มเชฟ ขณะที่ซอฟต์พาวเวอร์มวยไทยก็ไปผิดทางเช่นกัน
หลงทางที่ 4 การไม่เข้าใจกันของรัฐบาลและหน่วยราชการ ซอฟต์พาวเวอร์เป็นนโยบายที่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรี เคยทำมาแล้วเพื่อการท่องเที่ยวเป็นหลัก แต่รัฐบาลปัจจุบันพรรคเพื่อไทย จู่ๆ ตั้งคณะกรรมการขึ้นมา โดยมองว่าเกิดความลักลั่น 2 เรื่องคือ 1. ไม่มีเจ้าภาพทางกฎหมายที่จะดูแลเรื่องนี้ 2. ความลักลั่นด้านงบประมาณ บางโครงการที่ตั้งขึ้นก็ไม่เกี่ยวกับซอฟต์พาวเวอร์ ขณะที่บางโครงการชื่อสอดคล้องซอฟต์พาวเวอร์ แต่ไม่ได้อยู่ในคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์
พร้อมกันนี้ นายณัฐพล ขอเสนอคณะกรรมาธิการร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ 2568 ที่จะถูกตั้งขึ้นหลังรับหลักการในวาระแรก ถ้าเจอโครงการที่มีซอฟต์พาวเวอร์แต่ไม่ใช่ ก็ต้องตัดออก เพื่อให้งานของรัฐบาลมีความหมาย ให้งบซอฟต์พาวเวอร์ตอบโจทย์ ไม่ใช่ให้งบประมาณบวมไปเรื่อยๆ นี่เป็น 4 เหตุผลที่พยายามชี้ให้เห็นว่ารัฐบาลหลงทาง ก่อนย้ำว่า ตนเองและพรรคก้าวไกลไม่ได้ขัดขวาง แต่อยากให้อุตสาหกรรมถูกยกระดับเช่นกัน จึงมีข้อเสนอขั้นพื้นฐานที่จะช่วยปลดล็อกความสร้างสรรค์ ด้วยโมเดล CEA คือ Core value ปรับทัศนคติตัวเอง Ecosystem โดยอัปสกิล รีสกิล เป็นนโยบายที่ดี แต่ติดอยากให้ประชาชนมีอิสระในการเรียนรู้ และ Agency คือต้องมีหน่วยงานเจ้าภาพ ซึ่งสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (Creative Economy Agency หรือ CEA) ควรถูกยกเป็นแม่งาน พร้อมกับเสนอแผนบูรณาการยกระดับอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ไทย
“ซอฟต์พาวเวอร์จะไม่เกิด ถ้าเรายังหาความรู้สึกอันน่าหลงใหลที่เราคนไทยและคนต่างชาติ ต่างยอมรับมันยังไม่เจอ ซอฟต์พาวเวอร์จะไม่เกิดเช่นกัน ถ้ารัฐบาล หน่วยงาน หรือแม้แต่ผู้ประกอบการ ยังควรมองว่ามันเป็นผลิตภัณฑ์หนึ่งเพื่อหารายได้จากการท่องเที่ยว และซอฟต์พาวเวอร์ก็จะไม่เกิด ถ้าคนที่กำลังทำมันอยู่มอง Value Chain มอง Stage ของแต่ละอุตสาหกรรมไม่ออก ท่านก็จะจัดสรรงบประมาณไม่ถูก เรื่องนี้มันยังไม่สายเกินไป เพราะประเทศอื่นที่เขาสำเร็จด้านซอฟต์พาวเวอร์ เขาก็ใช้เวลาเป็นสิบๆ ปี ผมหวังว่าการอภิปรายของผมในครั้งนี้จะทำให้เราทุกคน ไม่เพียงฝ่ายค้านหรือรัฐบาล รวมถึงประชาชน ได้เข้าใจซอฟต์พาวเวอร์มากขึ้น เพื่อที่เราจะได้หาทางปลดล็อกความสร้างสรรค์นั้นออกมา เพื่อที่อุตสาหกรรมของเราจะถูกยกระดับด้วยความสร้างสรรค์ แล้ววันหนึ่งซอฟต์พาวเวอร์จะเกิดเองโดยที่ไม่ต้องให้ใครมากำหนด มาบอกว่ามันคืออะไร” ก่อนจบการอภิปรายในเวลา 15.03 น.
(อ่านร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ 2568 โดยสังเขป)