มติ กมธ.นิรโทษกรรม กำหนดกรอบเวลา-คำนิยามกฎหมาย ให้ผู้กระทำผิดทางการเมืองพ้นจากการกระทำผิด ให้การรับโทษสิ้นสุดลง และถือเสมือนว่าบุคคลนั้นไม่เคยทำผิด แต่ยังไม่เคาะรวมคดี ม.112 เสนอ ปธ.สภาฯ นั่งประธานคณะกรรมการ ส่วนนายกฯ เป็นรองประธาน
วันที่ 6 มิถุนายน 2567 นายนิกร จำนง เลขานุการคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการตราพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม สภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์ที่อาคารรัฐสภา ถึงมติที่ประชุม กมธ.นิรโทษกรรม ในวันนี้ โดยมีการลงมติถึงกรอบเวลาที่จะกระทำการนิรโทษกรรม ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2548 - ปัจจุบัน ในขณะที่คำนิยามของการนิรโทษกรรมครั้งนี้คือ “การกระทำที่เกิดจากแรงจูงใจทางการเมือง” หมายความว่า การกระทำที่มีฐานความคิดเกี่ยวเนื่องกับความขัดแย้งทางการเมือง หรือต้องการบรรลุเป้าหมายทางการเมืองอย่างใดอย่างหนึ่ง ช่วงเวลาที่มีความขัดแย้ง หรือเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมือง
ขณะที่ นายชัยธวัช ตุลาธน สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคก้าวไกล ในฐานะสมาชิกคณะกรรมาธิการ ได้เสนอความเห็นให้กำหนดขอบเขตและผลที่จะเกิดขึ้นจากการนิรโทษกรรม โดยที่ประชุมได้ให้ความหมายของขอบเขตว่า บรรดาการกระทำใดๆ หากเป็นความผิดตามกฎหมาย ไม่เป็นความผิดต่อไป ให้ผู้ที่กระทำนั้นพ้นจากการกระทำผิด หากมีคำพิพากษาถึงที่สุด ให้ผู้นั้นถือว่าเป็นผู้ที่ไม่ได้เคยรับการพิพากษา ใครที่ได้รับโทษก็ให้การรับโทษสิ้นสุดลง และถือเสมือนว่าบุคคลนั้นไม่เคยทำผิด
เมื่อถามว่า ท้ายที่สุดการนิรโทษกรรมจะครอบคลุมถึงคดีมาตรา 112 ด้วยหรือไม่ นายนิกร ระบุว่า อีกสัก 2-3 ครั้ง คงจะพิจารณาได้ ขณะนี้มีหลายคดีที่ต้องมาคิดกันว่าจะนิรโทษกรรมอะไรบ้าง อย่างไร ขณะนี้ยังไม่ได้พิจารณา ต้องดูกรอบอื่นมาก่อน แต่หากจะนิรโทษกรรมมาตรา 112 จะต้องครอบคลุมทุกคดีใช่หรือไม่นั้น นายนิกร ตอบว่า ต้องแล้วแต่ว่าจะเจอมาอย่างไร เพราะตอนนี้รวมอยู่ในกรอบการศึกษาทั้งหมด
...
เช่นเดียวกับ รศ.ยุทธพร อิสรชัย อดีตรองอธิการบดี มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ในฐานะกรรมาธิการและที่ปรึกษา ระบุว่า มาตรา 112 ยังไม่มีการพูดคุยในที่ประชุมวันนี้ ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่จะนำเรื่องนี้ให้ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป พร้อมกันนี้ รศ.ยุทธพร ยังได้เปิดเผยถึงข้อเสนอของคณะอนุกรรมาธิการวิสามัญฯ 7 ประเด็นหลัก ที่มีการลงมติเห็นชอบ คือ
1. คำนิยามของแรงจูงใจทางการเมือง
2. จำแนกประเภทคดีที่มีแรงจูงใจทางการเมือง ได้แก่ คดีหลัก คดีรอง และคดีที่อ่อนไหวทางการเมือง เช่น การลงพื้นที่ชุมนุมถือเป็นความผิดในคดีหลัก แต่การทำพื้นที่สกปรก หรือใช้เครื่องเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นคดีรองที่พ่วงมากับคดีหลัก ส่วนคดีที่มีความอ่อนไหวทางการเมือง เป็นคดีที่เกี่ยวข้องกับชีวิต หรืออิสรภาพของบุคคล
3. การมีทางเลือกในการนิรโทษกรรม โดยการใช้รูปแบบที่เสนอ คือ ให้ใช้คณะกรรมการนิรโทษกรรม หรือไม่ใช้คณะกรรมการ และให้เขียนในกฎหมาย ซึ่งจะสามารถยกเว้นความผิดได้ทันที หรืออาจผสมผสานทั้ง 2 รูปแบบ
4. กลไกและกระบวนการนิรโทษกรรม โดยจะเป็นตัวกำหนดว่าผู้ที่ได้รับการนิรโทษกรรมจะเลือกรูปแบบในการพิจารณาอย่างไรบ้าง
5. คณะกรรมการนิรโทษกรรม โดยที่ประชุมมีมติให้องค์ประกอบของคณะกรรมการเน้นไปที่ฝ่ายนิติบัญญัติ เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่ได้รับการยอมรับจากสังคม และมีความเป็นกลางมากกว่าฝ่ายบริหาร ซึ่งจะมาจากรัฐบาล โดยให้ประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นประธานคณะกรรมการ นายกรัฐมนตรี หรือรองนายกรัฐมนตรีที่ได้รับมอบหมาย เป็นรองประธาน รวมทั้งตัวแทนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาล ตัวแทนกระทรวงยุติธรรม นักวิชาการ และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง โดยกำหนดให้คณะกรรมการมีวาระ 2 ปี
6. มาตรการเยียวยาในเรื่องสิทธิ์ของผู้ที่ได้รับการนิรโทษกรรม ไม่เน้นไปในทางแพ่ง เพื่อป้องกันการฟ้องร้องลักษณะอื่นๆ
7. มาตรการป้องกันการกระทำผิดซ้ำ โดยจะมีคณะอนุกรรมการ ที่มีวาระตามคณะกรรมการใหญ่ ติดตามว่าผู้ที่ได้รับนิรโทษกรรมมีการกระทำผิดซ้ำหรือไม่ หากมีอาจจะนำมาร้องขอให้ดำเนินคดีอีกครั้งหนึ่ง.