“เศรษฐา” สั่งเร่งผุดสถานบันเทิงครบวงจร คาด เก็บภาษีปีแรกได้ไม่น้อยกว่า 1.2 หมื่นล้านบาท กำชับ “พิชัย-พิพัฒน์” เร่งหาแนวทางเยียวยาผู้ประกอบการ-แรงงานทั่วประเทศ พร้อมมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเสนอ ครม.
เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 4 มิถุนายน 2567 นายชัย วัชรงค์ โษฆกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่ทำเนียบรัฐบาล ว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี สั่งการในที่ประชุม ครม. เรื่องการติดตามการดำเนินการสถานบันเทิงครบวงจร หรือ เอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ (Entertainment Complex) โดยสั่งการกระทรวงการคลัง ให้นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ไปศึกษาเร่งรัดการดำเนินการเรื่องสถานบันเทิงครบวงจร เพื่อให้มีแนวทางในการดำเนินการให้เป็นรูปธรรมต่อไป ตลอดจนมอบหมายให้กระทรวงการคลัง เป็นผู้ยกร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) สถานบันเทิงครบวงจร โดยนำร่าง พ.ร.บ. ฉบับที่กรรมาธิการได้พิจารณามาประกอบความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามมติ ครม. ที่เคยมีไว้ เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2567 พร้อมทั้งจัดทำแผนการออกกฎหมายลำดับรองลงไปที่เกี่ยวข้อง และให้นำเสนอ ครม. ในโอกาสต่อไป ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามขั้นตอนการเสนอกฎหมายตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด
“เอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ หรือสถานบันเทิงครบวงจร มีผลต่อเศรษฐกิจของประเทศอย่างมาก เพราะถ้าพูดถึงมูลค่าของธุรกิจเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ทั่วโลก เมื่อปี 2565 มีมูลค่าสูงถึง 1.5 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นเงินไทยตก 54 ล้านล้านบาท และคาดว่าปี 2571 มูลค่าทางเศรษฐกิจจะเติบโตเป็น 2.2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 79 ล้านล้านบาท ปัจจุบันประเทศ หรือเขตปกครองพิเศษที่ธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจรใหญ่ที่สุดคือมาเก๊า ซึ่งมีประชากร 6.9 แสนคน แต่ทำธุรกิจได้ 3.2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งสูงมาก
...
ลำดับรองลงมาคือลาสเวกัส 3 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ สิงคโปร์ 1.2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนประเทศไทย 0 บาท นอกจากนี้ ประเทศญี่ปุ่นมีแผนจะผุดเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ขึ้นมาอีก 3 แห่ง ในเร็วๆ นี้ ทั้งโอซากา นางาซากิ และฟุกุโอกะ ดังนั้น ประเทศไทยต้องเร่งดำเนินการ หากจะมีรายได้ทางนี้”
ทั้งนี้ คณะกรรมาธิการได้คำนวณเบื้องต้นว่า ถ้าประเทศไทยมีเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ จะมีรายได้ไหลเข้ามามหาศาล และปีแรกจะสามารถเก็บภาษีได้ไม่น้อยกว่า 1.2 หมื่นล้านบาท

นอกจากนี้ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ยังได้แถลงถึงข้อสั่งการนายกรัฐมนตรีในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งท่านเป็นห่วงเกี่ยวกับพี่น้องแรงงาน และผู้ประกอบการ ที่มีปัญหาแรงงานสืบเนื่องมาผลจากเศรษฐกิจเติบโตไม่ได้ตามศักยภาพ จึงเกิดผลกระทบต่อภาคธุรกิจ รวมถึงโรงงานทั่วประเทศที่มีการปิดตัวลงหรือเลิกจ้างงาน จึงให้ นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ร่วมดำเนินการเร่งตรวจสอบข้อเท็จจริง และหามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างเร่งด่วน รวมถึงมาตรการเยียวยาทั้งผู้ประกอบการและแรงงานอย่างเหมาะสม พร้อมกับให้เร่งนำเสนอต่อ ครม.พิจารณาอนุมัติ
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า สถานภาพการจ้างงานในเมืองไทยจะดูที่สัญญาณเตือนภัยด้านแรงงานซึ่งมี 3 ระดับ คือ ระดับสีเขียว สีเหลือง และสีแดง ซึ่งสัญญาณเตือนภัยนี้จะคำนวณจากดัชนีทางเศรษฐกิจ 26 ตัว 0-1.1 จะถือว่ายังอยู่สีเขียว ถ้า 1.1 ไม่เกิน 1.5 คือสีเหลือง เกินกว่า 1.5 ถือว่าเป็นสีแดง ซึ่งล่าสุดปีนี้เราอยู่ที่ .03 ถือว่ายังค่อนข้างต่ำ อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรีไม่รอให้สถานการณ์เลยสีเขียว แม้สภาพการจ้างงานพยากรณ์ไปข้างหน้า 12 เดือนยังปกติ แต่ก็สั่งการให้รีบไปดูแลเยียวยาผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ รวมถึงดูแลพี่น้องแรงงานที่ถูกเลิกจ้างด้วยว่าจะมีแนวทางอย่างไร.

