นายกรัฐมนตรี มั่นใจศักยภาพประเทศ พร้อมเปิดรับและขยายการลงทุนทุกมิติ ชวนพิจารณาใช้ไทยเป็นสำนักงานภูมิภาค-ศูนย์ซ่อมบำรุง ยกระดับกองทัพไทย พร้อมเสนอขอจัดแข่ง MotoE ต่อจาก Formula E

วันที่ 20 พฤษภาคม 2567 เมื่อเวลา 10.40 น. (ตามเวลาท้องถิ่นกรุงโรม สาธารณรัฐอิตาลี ซึ่งช้ากว่าไทย 5 ชั่วโมง) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงภารกิจวันแรก ณ กรุงโรม มีการพบหารือ นาย Lorenzo Mariani, Co-General Manager และนาย Marco De Fazio, Managing Director of Electronic Division บริษัท Leonardo S.p.A. ซึ่งบริษัท Leonardo S.p.A. เป็นบริษัทเทคโนโลยีอวกาศที่ใหญ่ที่สุดในอิตาลี และเป็นบริษัทชั้นนำระดับโลก ผลิตเฮลิคอปเตอร์, ส่วนประกอบของเครื่องบิน, อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สำหรับเครื่องบิน และผลิตภัณฑ์ด้านการจัดการความปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cyber Security Solutions) 

ทั้งนี้ มีการพูดคุยกันถึงเรื่องเรดาร์เรื่องเทคโนโลยีการบินและอวกาศ นอกจากนี้ทางบริษัทยังมีหุ้นกับบริษัทแอร์บัส ทำเครื่องบิน ATR ซึ่งในบ้านเราก็มีใช้อยู่ โดยมีจุดประสงค์เชิญชวนให้พิจารณาใช้ประเทศไทยเป็นสำนักงานภูมิภาค (Regional Office) และให้การฝึกอบรมนักบินในภูมิภาค และตั้งศูนย์ซ่อมบำรุงในไทย ซึ่งทั้ง 2 เรื่องไม่จำเป็นต้องมาด้วยกัน เรื่องแรกที่ทำได้เลย คือทางบริษัทมีความสนใจมากที่จะย้ายสำนักงานภูมิภาคมาที่ประเทศไทย 

...

ส่วนเรื่องศูนย์ซ่อมบำรุง เขาแจ้งว่าต้องดูปริมาณก่อน ซึ่งตนก็พยายามพูดคุยว่าเรื่องอนาคตเป็นสิ่งสำคัญ นโยบายหลักของรัฐบาลคือพยายามอัปเกรดเรื่องอุตสาหกรรมการบินและอวกาศ ทั้งเรื่องสนามบินหลัก สุวรรณภูมิ ดอนเมือง ล้านนา และอันดามัน นอกเหนือจากนั้นที่น่าสนใจคือเรื่องสนามบินรอง ซึ่งบางแห่งมีขนาดเล็ก ถ้าจะมีการสร้างใหม่ก็ต้องเป็นสนามบินขนาดเล็ก ขึ้นเครื่องบิน ATR ก็มีขนาดเล็กกว่าแอร์บัส 320 ที่ใช้อยู่ หรือโบอิ้ง 737 ที่ใช้กันอยู่อย่างแพร่หลาย ซึ่งสนามบินของเราอาจไม่สามารถลงได้ ดังนั้นเรื่องของ ATR ที่บริษัทเป็นหุ้นส่วนคนละครึ่งกับฝรั่งเศส ก็ถือว่ามีศักยภาพสูงเหมือนกัน

นายกรัฐมนตรียังได้กล่าวถึงการอัปเกรดกองทัพไทย ทั้งแผน 5 ปี และ 10 ปี ที่เคยคุยไว้ที่สาธารณรัฐฝรั่งเศส ก็ได้บอกให้ทางบริษัททราบด้วย และขอให้พูดคุยกับทูตทหาร ซึ่งตนได้ฝากให้กระทรวงการต่างประเทศติดต่อกับผู้บัญชาการทหารสูงสุดว่าบริษัทนี้มีศักยภาพสูง ที่จะทำเรื่องเทคโนโลยีด้านกลาโหม อยากให้มาพูดคุยกันและสานต่อเรื่องนี้ 

ขณะเดียวกัน นายเศรษฐา ยังได้กล่าวถึงผลการพูดคุยกับ Generali บริษัทประกันภัยชั้นนำระดับโลก ว่า ซึ่งมีทั้งประกันชีวิต ประกันสุขภาพ ปัจจุบันถือหุ้นอยู่กับคนไทย 49% ก็เข้าใจในศักยภาพการเติบโตของตลาดไทย และมั่นใจว่าตลาดไทยจะเติบโตไปอีกเยอะ ซึ่งการเจาะตลาดของบริษัทประกันยังต่ำอยู่ เมื่อเปรียบเทียบกับตัวเลขทั่วโลก ตรงนี้จึงเป็นช่องทางในการทำธุรกิจที่เขามองอยู่ แต่ก็ยอมรับว่าการถือหุ้น 49% มีความลำบากในการเสนอคณะกรรมการว่าให้ลงทุนจำนวนมากในประเทศไทย

พร้อมกันนี้ยังได้บอกไปว่าหากตลาดใหญ่มากจริง แม้จะถือหุ้นเพียง 49% ก็จะมีผลตอบแทนทางการเงินสูงอยู่ดี ก็ให้ไปดูบริษัทอื่นที่มาลงทุนแล้วประสบความสำเร็จสูง พยายามพูดคุยเพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าการเติบโตของประเทศไทยเป็นเรื่องที่ดีและอุตสาหกรรมการประกันยังไปได้อีกไกล ทั้งประกันสุขภาพและประกันชีวิต ซึ่งต่างคนก็จะนำกลับไปคิด โดยหวังว่าเขาจะตัดสินใจมาลงทุน

อีกบริษัทที่ได้คุยคือบริษัท DUCATI Motor ซึ่งเป็นบริษัทที่ผลิตรถจักรยานยนต์ระดับพรีเมียม ถือเป็นที่น่ายินดี เพราะในการลงทุนด้านการผลิต นอกเหนือที่อิตาลีแล้วก็มีประเทศไทยเพียงที่เดียว และไม่ใช่แค่ลงทุนอย่างเดียว แต่ยังมี Training Center ด้วย การแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างประชาชนกับประชาชนก็ถือเป็นเรื่องที่ดี นอกจากนี้เขายังให้ความสนใจจะมาลงทุนด้าน MotoE หรือ E-Bike และปัจจุบันเขามีความเข้าใจเรื่องการแข่งขันทั้งมอเตอร์กรังด์ปรีซ์ที่บุรีรัมย์ DUCATI ก็มีส่วนร่วม 

นายเศรษฐา กล่าวในตอนท้ายด้วยว่า และถือเป็นเรื่องบังเอิญที่บริษัทฟอร์มูลา อี (Formula E) ที่รัฐบาลติดต่อจะมา จ.เชียงใหม่ ในปีหน้า กับ MotoE เป็นเจ้าของเดียวกัน จึงมีการพูดคุยกันว่าเป็นไปได้หรือไม่ ถ้าเราจัดฟอร์มูลา อี ที่เชียงใหม่ 1 สัปดาห์แล้ว สุดสัปดาห์ต่อมา เราจะจัด MotoE ด้วย ถือว่าเป็นช่องทางหนึ่ง ไม่ใช่แค่ภาคอุตสาหกรรม แต่ภาคการท่องเที่ยวก็จะได้ด้วยเหมือนกัน ดังนั้นที่มาคุยกันในวันนี้เป็นเรื่องการแลกเปลี่ยนทางธุรกิจทั้งหมด เพราะสังคมยุโรปค่อนข้างใกล้ชิดกัน จะเห็นได้ว่าฝรั่งเศสกับอิตาลีมีความเชื่อมโยงกัน.