“ต๋อม ชัยธวัช” กล่าวปิดงาน ก้าวไกล Big Bang ชี้ บทใหม่การเมืองไทยเริ่มต้นหลังเลือกตั้ง 66 เพดานทางการเมืองแบบเดิมทลายลงแล้ว ย้ำ พร้อมเป็นสะพานเชื่อมยุคเก่า-ใหม่ ตอบรับกระแสความต้องการเปลี่ยนแปลงของประชาชน

วันที่ 19 พฤษภาคม 2567 นายชัยธวัช ตุลาธน สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคก้าวไกล ขึ้นเวทีกล่าวปาฐกถาในหัวข้อ “อนาคตการเมืองไทย” เป็นการปิดท้ายเวทีมหกรรมนโยบาย Policy Fest ครั้งที่ 1 “ก้าวไกล Big Bang” ที่ภิรัชฮอลล์ ไบเทคบางนา โดยระบุว่า การจัดตั้งรัฐบาลหลังการเลือกตั้ง 2566 นับเป็นหมุดหมายใหม่ของการเมืองไทย ในฐานะวันสิ้นสุดของการเมืองแบบสีเสื้ออย่างเป็นทางการ ชนชั้นนำทุกกลุ่มดูเหมือนจะจับมือเป็นพันธมิตรกันได้แม้จะเป็นเรื่องชั่วคราว แต่พลังของกลุ่มสีเสื้อเหล่านั้นไม่ได้หายไปไหน คนเสื้อแดงจำนวนมากเห็นแล้วว่าการสร้างประชาธิปไตยไม่สามารถเกิดขึ้นได้โดยมีแค่การเลือกตั้ง แต่ต้องมีการปฏิรูปการเมืองครั้งใหญ่ด้วย ส่วนคนเสื้อเหลืองจำนวนมากก็มีบทเรียนแล้วว่าการปฏิรูปประเทศก่อนเลือกตั้งไม่มีจริง และการเมืองในระบบเลือกตั้งสามารถพัฒนายกระดับได้

“ประชาชนที่เคยสังกัดสีเสื้อคนละสี เริ่มเห็นแล้วว่าปัญหาสังคมการเมืองไทยที่แต่ละฝ่ายต่างให้ความสำคัญกันคนละมุมนั้น แท้จริงแล้วอาจมีรากฐานมาจากโครงสร้างสังคมแบบเดียวกัน ต่างฝ่ายต่างสีต่างรู้จักช้างกันคนละแบบ ฝ่ายหนึ่งรู้จักช้างจากการจับขา จับหาง ฝ่ายหนึ่งรู้จักช้างจากการจับงวง แต่สุดท้ายปัญหาใหญ่ของสังคมไทยก็คือช้างในห้องตัวเดียวกัน” 

...

นายชัยธวัช กล่าวต่อไปว่า การเมืองไทยในปัจจุบันจึงอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน ระหว่างการเมืองของชนชั้นนำ เพื่อชนชั้นนำ กับการเมืองของประชาชน เพื่อประชาชน เมื่อการจัดตั้งรัฐบาลสะท้อนการเมืองของชนชั้นนำ สิทธิของแต่ละคนจึงย่อมลดหลั่นกันไปตามสถานภาพทางสังคม การพิจารณาว่าผู้ต้องขังในเรือนจำคนใดป่วยหรือไม่ป่วย ป่วยมากหรือป่วยน้อย ใครจะถูกส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลใด อย่างไร จึงไม่ใช่เรื่องการแพทย์ วิทยาศาสตร์ และสิทธิตามกฎหมายที่พึงบังคับใช้เสมอหน้ากัน แต่เป็นเรื่องของสถานภาพทางสังคม ขณะเดียวกัน เมื่อประชาชนเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม จะถูกตัดสินว่าผิดหรือไม่ผิด ผิดน้อยหรือผิดมาก ควรได้รับสิทธิในการประกันตัวหรือไม่ หรือจะได้รับโอกาสพิจารณาคดีอย่างเป็นธรรมหรือไม่ จึงไม่ใช่เรื่องของหลักนิติรัฐ ความเสมอภาคเท่าเทียมกันต่อหน้ากฎหมาย และไม่ใช่เรื่องสิทธิที่ประชาชนทุกคนพึงมี แต่เป็นเรื่องสถานภาพทางเศรษฐกิจและสังคมของแต่ละคนในกระบวนการยุติธรรม

สำหรับการเมืองของชนชั้นนำ เป้าหมายของระบบกฎหมายหรือนิติรัฐแบบไทยๆ ไม่ใช่การคุ้มครองชีวิต ร่างกาย หรือสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐาน แต่คือการปกป้องคุ้มครองความมั่นคงของรัฐและลำดับชั้นของอภิสิทธิ์ชน เมื่อเป็นการเมืองของชนชั้นนำ โอกาสที่ผู้ต้องหาหรือนักโทษคดีการเมืองจะได้รับการนิรโทษกรรมอย่างถ้วนหน้าหรือไม่นั้น จึงไม่ได้พิจารณาจากเป้าหมายในการยุติความขัดแย้ง หรือการคืนความยุติธรรมให้แก่ทุกคน แต่พิจารณาจากความพึงพอใจหรือความเมตตากรุณาของผู้มีอำนาจเบื้องบนต่อประชาชนเบื้องล่าง 

หัวหน้าพรรคก้าวไกล ระบุต่อ ชนชั้นนำพยายามทำให้ทุกคนเชื่อว่า เมื่อเกิดวิกฤติขึ้นในประเทศไทยจะไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยวิถีทางประชาธิปไตย และต่อให้ใช้ระบอบประชาธิปไตยแบบเลือกตั้ง ก็จะพยายามออกแบบประชาธิปไตยที่ยอมให้มีการเลือกตั้ง แต่ไม่ยอมให้อำนาจที่มาจากการเลือกตั้งอยู่เหนืออำนาจที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง ไม่ยอมให้ปลดล็อกประเทศไทยออกจากโครงสร้างรัฐซ้อนรัฐ กองทัพอยู่เหนือพลเรือน รวมทั้งระบบบริหารแบบรัฐราชการรวมศูนย์

“การเมืองของชนชั้นนำชอบสงเคราะห์ประชาชน กดให้จนแล้วขนมาแจก ระบบเศรษฐกิจของชนชั้นนำจึงแข่งกันด้วย Know Who ไม่ใช่ Know How ด้วยเส้นสายและความสัมพันธ์ ไม่ใช่ความสามารถหรือนวัตกรรม โอกาสและความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนจะเข้าถึงได้และแบ่งปันกันอย่างเท่าเทียม”

ทั้งนี้ ไม่ได้หมายความว่าชนชั้นนำแต่ละกลุ่มจะสามัคคีกันตลอดเวลา มีการต่อสู้กันว่ากลุ่มใดจะเป็นผู้ครองอำนาจนำเหนือกลุ่มอื่น แต่ถึงแม้จะต่อสู้ขัดแย้งกัน ก็ยังมีเอกภาพร่วมกัน คือการรักษาโครงสร้างและความสัมพันธ์ทางสังคมแบบเดิม ที่สิทธิและโอกาสของแต่ละคนมีลำดับชั้นสูงต่ำลดหลั่นกันไป มองยุคสมัยที่เปลี่ยนไปว่ากำลังจะทำลายความดีงามในอดีต มองความรู้สึกนึกคิดของประชาชนเป็นภัยคุกคาม ไม่ได้มองประชาชนเป็นเจ้าของประเทศ แต่มองเป็นบุคคลที่ไม่น่าไว้วางใจ จึงพยายามกดทับการเมืองของประชาชนเอาไว้ไม่ให้เติบโต 

แต่ชนชั้นนำประเมินความเปลี่ยนแปลงของสังคมไทยต่ำเกินไป ไม่เข้าใจว่าสภาพแวดล้อมของสังคมไทยเปลี่ยนไปมากจนไม่อาจย้อนกลับได้อีกแล้ว การเลือกตั้งเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 เป็นปรากฏการณ์หนึ่งที่บ่งชี้ข้อเท็จจริงนี้ สังคมไทยในอนาคตจะเป็นอย่างไรจึงขึ้นอยู่กับดุลยภาพหรือฉันทามติใหม่ ระหว่างการเมืองของชนชั้นนำกับการเมืองของประชาชน

นายชัยธวัช เผยอีกว่า ไม่ว่าจะเป็นชนชั้นนำกลุ่มใดก็ล้วนมองการเมืองแบบก้าวไกลเป็นภัยคุกคาม แต่พรรคก้าวไกลยืนยันว่าเราจะเป็นสะพานเชื่อมแห่งยุคสมัย เชื่อมสังคมไทยแบบเก่ากับแบบใหม่ และเชื่อมความฝัน ความหวัง กับความเป็นจริงเข้าด้วยกัน ผลการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 มีความหมายต่อพรรคก้าวไกลมาก แม้จะไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ แต่เสียงของประชาชนบอกอย่างชัดเจนว่า เพดานทางการเมืองแบบเดิมของไทยได้พังทลายลงแล้ว และการเปลี่ยนแปลงใหญ่ผ่านประชาธิปไตยแบบเลือกตั้งนั้นเป็นไปได้

“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พวกเราจะมุ่งมั่นทำงานอย่างหนัก เพื่อสร้างการระเบิดครั้งใหญ่ในการปลดปล่อยศักยภาพของสังคมไทยออกมาให้ได้ ปลดปล่อยความรู้สึกนึกคิดและความปรารถนาแบบใหม่ๆ ของประชาชน ปลดปล่อยการเมืองออกจากการเมืองของชนชั้นนำ และสถาปนาการเมืองของประชาชน แสวงหาฉันทามติใหม่ เพื่อเชื่อมต่อสังคมไทยแบบเก่าให้ก้าวสู่สังคมไทยแบบใหม่ในที่สุด”.