“เอลนีโญ” ยังไม่ไป “ลานีญา” มารอจ่ออยู่ข้างหน้าแล้ว แนวโน้มประเทศไทยต้องเผชิญกับสภาพอากาศรุนแรงแบบสุดขั้วที่ทั่วโลกเจอภัยธรรมชาติถล่มอ่วมไปตามๆกัน ณ จุดที่อุณหภูมิบางจังหวัดทะลักเกิน 44 องศา ทำสถิตินิวไฮ น้ำทะเลอุ่นกว่า “น้ำพุร้อนออนเซ็น”
และถือเป็นสัญญาณบวกที่มาพร้อมกับความอันตราย ตามประกาศกรมอุตุนิยมวิทยา เตือนพายุฤดูร้อน ลูกเห็บถล่ม ช่วงวันที่ 3-7 พฤษภาคมนี้
ลุ้นฝนมาดับร้อน ผ่อนอุณหภูมิไต่จุดเดือด แต่นั่นก็แค่ชั่วประเดี๋ยวประด๋าว เพราะหลังจากนั้นฝนก็ส่อทิ้งช่วงยาวไปเป็นเดือนหรือมากกว่านั้น นั่นก็นำมาซึ่งปรากฏการณ์ภัยแล้งหนักหนาสาหัส น้ำในเขื่อนลดต่ำกว่าระดับกักเก็บ แม่น้ำ ลำคลอง ห้วย หนอง บึง แห้งเหือด
เดือดร้อนกันถ้วนหน้าแน่ ทั้งน้ำกิน น้ำใช้ น้ำทำการเกษตร
ในสภาพร้อนแล้ง “น้ำลดตอผุด” ไปพร้อมๆกับ “แดดร้อนกากพิษโผล่” ตามสถานการณ์เพลิงไหม้โกดังเก็บของกลาง โรงงานร้าง แหล่งเก็บซ่อนสารพิษ โดยเฉพาะแคดเมียม วัตถุอันตราย ผิดกฎหมาย
ควันดำพวยพุ่งประจาน “เชื้อชั่ว” ที่กลบไว้ไม่มิด
จังหวัดระยอง อยุธยา สมุทรสาคร ตาก ไม่เว้นแม้แต่เตาปูน กรุงเทพฯ กลายเป็นพื้นที่อันตราย เส้นทางเชื่อมโยงขบวนการลักลอบหาผลประโยชน์จากกากพิษอุตสาหกรรม นายทุน ข้าราชการ นักการเมือง รวมหัวกัน
เห็นแก่ได้ มักง่ายไม่สนคุณภาพชีวิตผู้คน และที่สุดก็ทนแรงกดดันไม่ไหว อารมณ์แบบที่นายจุลพงษ์ ทวีศรี อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม ต้องประกาศลาออกกลางวงประชุมคณะกรรมาธิการการอุตสาหกรรม สภาผู้แทนราษฎร ก่อนเกษียณในเดือนกันยายนนี้
หลังโดนนายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ เม้งใส่ ตำหนิออกอากาศ
...
อธิบดีกรมโรงงานฯเป็นเหยื่อรายแรกที่สังเวยความผิดพลาด รับผิดชอบกากพิษโผล่ประจาน สะท้านสะเทือนไปทั้งกระทรวงอุตสาหกรรม
แต่ผู้นำก็ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่า เม้งแตกใส่ข้าราชการประจำ เพราะกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นโควตาของค่ายรวมไทยสร้างชาติ รู้กันอยู่ว่า น.ส.พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รมว.อุตสาหกรรม เป็นรัฐมนตรีสายตรงก๊วน “ลุงกำนัน” กปปส. ส่วนบิ๊กข้าราชการในกระทรวงล้วนเป็นคนของทีมสปอนเซอร์พรรค “ลุงตู่”
พรรคเดียวกันแต่คนละพวก ชูธงไปกันคนละทิศคนละทาง ตั้งแต่ปมใบ รง.4 ล่าช้า นายกฯต้องเรียกไปไล่บี้ จนมาถึงเรื่องเหม็นเน่าจากสารแคดเมียม กากพิษอันตรายดูตามทรงกระทรวงอุตสาหกรรมมีปัญหามากในเชิงบริหาร แต่กลับยังนิ่งไม่มีการขยับแต่อย่างใดในการปรับ ครม.ล่าสุด
เป็นจุดที่ตอกย้ำว่า การขยับปรับ ครม.รอบแรกของนายเศรษฐา เน้นเชิงการเมือง เรื่องต่างตอบแทนโควตากลุ่มทุน สนองก๊วนเลือกตั้ง มาก่อนเนื้องาน
ตามอาการผู้นำรัฐบาลเองก็กลืนไม่เข้าคายไม่ออก บอกไปก็ไม่มีใครเชื่อว่า คิดเองทำเองกับมือ ตามสภาพของ “นายกฯในตำแหน่ง” ที่ต้องดำเนิน “พิธีกรรม” ไปตามอำนาจที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ
ล้อสัญญาณคลื่นความถี่สูงจาก “ผู้มีบารมีนอกรัฐบาล”
กับภาพเชิงซ้อนที่ปรากฏต่อสายตาประชาชนคนไทยไปยันต่างประเทศ ภายใต้เงาอำนาจ “จันทร์ส่องหล้า” ทาบทับตึกไทยคู่ฟ้า
“นายกฯ ในตำนาน” มีอิทธิพลเหนือ “นายกฯ ในตำแหน่ง”
ตามปรากฏการณ์แบบที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ผู้นำจิตวิญญาณพรรคเพื่อไทย กำกับคิวเอง มาตั้งแต่ส่งซิกขยับใหญ่ ครม.ช่วงเดินสายไปสงกรานต์ที่จังหวัดเชียงใหม่ ก่อนมาเคาะโต๊ะจบโผสุดท้าย ในวันที่นายเศรษฐาบึ่งไปนั่งกินข้าวเที่ยงกับวีไอพีคนสำคัญ ที่โรงแรมหรู ย่านสุขุมวิท ธุรกิจของตระกูลชินวัตร
โชว์ชัดๆให้มันรู้กันไปเลยว่า ใครคือตัวจริงเสียงจริง
“เถ้าแก่ใหญ่” จัด “มือกระบี่สายตรง” ล็อกจุดยุทธศาสตร์แบบเบ็ดเสร็จ
ตามโพยยืนหนึ่งมาตั้งแต่ต้น คือชื่อของนายพิชัย ชุณหวชิร ยึดแท่นรองนายกฯ ควบขุนคลัง ตั้งธงใช้มือโปรตลาดหุ้น เซียนตลาดทุน กระตุ้นเครื่อง ยนต์เศรษฐกิจที่ติดๆขัดๆ และคงหวังอาศัยบทบู๊ของขาใหญ่วงการหมัดมวย ลุยหักด่านแบงก์ชาติ ที่ขวางลำคิวเทกระจาดเงินหมื่นดิจิทัล วอลเล็ต
แถมยังได้ “เดอะปู” นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ เสียบเก้าอี้ รมว.ต่างประเทศ ตามความพิเศษของ “นักการทูตคนสนิท” ที่รับใช้ใกล้ชิดมาตั้งแต่คนชื่อ “ทักษิณ ชินวัตร” ประเดิมสนามการเมืองครั้งแรกในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงบัวแก้ว
แนวโน้มนายมาริษ น่าจะถูกส่งมาคุมคิวสำคัญ ทั้งในภารกิจพา “น้องปู” อดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กลับบ้าน ไปยันการทูตเชิงพาณิชย์ ดีลธุรกิจข้ามชาติ โดยเฉพาะในโซนกัมพูชา เมียนมา
เดิมพันเสี่ยงๆที่ต้องใช้ “มือกระบี่” คู่กาย “นายใหญ่” ขณะที่นายเศรษฐาเอง ดูจะได้สิทธิแค่การโยกคนสนิทอย่าง “หนุ่มเพ้า” นายจักรพงษ์ แสงมณี ไปนั่งเป็น รมต.ประจำสำนักนายกฯ ประกบอยู่ข้างตัวนายกฯเท่านั้น
โฟกัสตำแหน่งสำคัญ คลัง ต่างประเทศ เก้าอี้หลักๆในคิวปรับ ครม. อยู่ในแผนยุทธศาสตร์ของ “นายกฯในตำนาน” จัดการวางหมากเองทั้งหมด
และจากเบื้องหลัง เริ่มล้นทะลักออกมาฉากหน้า
เพราะในทันทีที่พระราชกฤษฎีกาประกาศตั้ง ครม.ชุดใหม่ ก็ปรากฏภาพข่าวเซอร์ไพรส์แบบที่นายทักษิณ พาคณะใหญ่ ไปโผล่ย่านท่องเที่ยวจังหวัดภูเก็ต
เช็กเรตติ้ง สำรวจสถานการณ์เศรษฐกิจท่องเที่ยว
โดยพฤตินัย เอี่ยวเป็นทีมบริหารคู่ขนานผู้นำรัฐบาลชัดเจน “เถ้าแก่ใหญ่” ไม่มีแผ่ว แนวโน้มแสดงตัวแสดงตน เป็นตัวจริงเสียงจริงในการกำกับเชิงบริหาร โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจที่เป็นจุดขายยี่ห้อ “ทักษิณ”
ไม่ยี่หระกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ กระแนะกระแหนนักโทษวีไอพี
มุ่งเป้าหมายอยู่ที่การฟื้นกิจการกงสีตระกูลชิน ต้นทุนทางการเมืองพรรคเพื่อไทยที่ใกล้ล้มละลายจากการตระบัดสัตย์ ตั้งรัฐบาลผสมพันธุ์ข้ามขั้ว
“ทักษิณ” ถือตั๋ววีไอพีฝ่ายอนุรักษ์นิยม ขี่อารมณ์ผวากองทัพส้ม ทีมก้าวไกล
กุมดุล ถือแต้มต่อไฟต์บังคับ “ดีลลังกาวี” ไม่ต้องแคร์อะไร สไตล์เถ้าแก่ใหญ่ “ของแทร่” มั่นใจในความเท่ หนึ่งเดียวของ “นายกฯ ในตำนาน” ที่ทำได้ เหลี่ยมเขี้ยว ลีลาแสบๆของ “มือที่มองเห็น” แต่จับไม่ได้ไล่ไม่ทัน
ลอยตัวกำกับเกมอยู่วงนอก เอาล่อเอาเถิดกับเหลี่ยมคมกฎหมาย
แบบที่ไม่ต้องรับผิดชอบหากเกิดติดเงี่ยงอันตราย
อย่างมาก “เถ้าแก่ใหญ่” ก็โดนด่าอย่างเดียว แต่คนที่หวาดเสียวก็คือผู้เล่นในสนามอย่างนายเศรษฐา “นายกฯในตำแหน่ง” ที่ต้องรับภาระ “หนังหน้าไฟ” แบกหน้าเผชิญแรงกระแทกที่พุ่งเข้าใส่
อาการเจื่อนๆแบบที่ผู้นำต้องแถลง “ขอโทษ” กรณีที่ “ดร.ตั๊ก” นายปานปรีย์ พหิทธานุกร ร่อนใบลาออก ตอกหน้าผู้นำรัฐบาลที่ปรับลดชั้นจากรองนายกฯ ควบ รมว.ต่างประเทศ ไปเป็น รมว.ต่างประเทศ เก้าอี้เดียว
“ลูกเฮี้ยว” สะท้านเชิงการทูตประเทศไทย สะเทือนเครดิตนายกฯ
ภาพติดลบหนัก คิวของ “ดร.ตั๊ก” ต้องเซ่นให้กับการจัดโพย ครม.ระบบเดียวกับการบริหาร “กงสี” ที่ไม่มีแบบแผนมาตรฐาน เพิ่มงานยากให้นายเศรษฐาในการแจกแจงหลักการเหตุผล ย้อนแย้งโดยสิ้นเชิงกับสิ่งที่ผู้นำรัฐบาลบอกว่า การปรับ ครม.ก็เพื่อจัดคนให้ถูกกับงาน เพิ่มศักยภาพในเชิงบริหาร
กลายเป็นปมผิดคิว “วงแตก” ประจานกันเองเลย
ลำพังปมของนายปานปรีย์ยังไม่เท่าไหร่ อย่างดีผู้นำก็แค่เสียทรงในการโชว์ปรับ ครม.ยกแรก
แต่จุดอันตรายที่ “ผู้นำในตำแหน่ง” ต้องหนาวๆร้อนๆ
ตามสัญญาณแดงเข้ม “จุดความร้อน” ในระดับที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ก็คือสถานภาพของ “ทนายถุงขนม” นายพิชิต ชื่นบาน ที่ถือตั๋ว “สมนาคุณ” ของ “เถ้าแก่ใหญ่” มานั่งแท่น รมต.ประจำสำนักนายกฯ
เข็นครกขึ้นภูเขา ลุยฝ่าเหวมรณะกันจนได้
ยากจะอธิบายถึงความเหมาะสม อารมณ์ที่ผู้คนรู้กันทั่วบ้านทั่วเมือง เป็นเรื่องการตอบแทนพวกสู้แบบถวายหัว ปูนบำเหน็จ “ทนายประจำตระกูลชิน” ด้วยเก้าอี้รัฐมนตรีเป็นรางวัล ตามธรรมเนียมของ “เถ้าแก่ใหญ่”
ด้วยเหตุผลเพียงเท่านี้ เทียบกับ “ออปชัน” ที่จะพ่วงตาม “ทนายถุงขนม” มาเป็นภาระหนักอึ้งของ “ผู้นำในตำแหน่ง” แบบที่โดน “รับน้อง” กันตั้งแต่ยังไม่จบกระบวนการแต่งตั้ง ครม.ใหม่
ยุทธการ “ขึงพืด” อย่างที่มือกฎหมายยี่ห้อประชาธิปัตย์ “ล็อกเป้า” ถล่มบ่อน้ำมัน โหมไฟพฤติการณ์ท้าทาย บี้นายเศรษฐาต้องรับผิดชอบกับการตั้ง “ทนายถุงขนม” ที่โดนศาลสั่งจำคุก 6 เดือน ไม่รอลงอาญา โทษฐานละเมิดศาล พฤติการณ์กระทบกระเทือนต่อความเชื่อมั่นในศาลยุติธรรม
จากการหิ้วถุงขนมใส่เงินสด 2 ล้านบาทไปมอบให้เจ้าหน้าที่ธุรการศาล ในระหว่างการพิจารณาคดีที่ดินรัชดาฯ ของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
เป็นเรื่องหมิ่นเหม่ข้อกฎหมาย ฝืนมาตรฐาน “จริยธรรม” อย่างร้ายแรง
ตามจังหวะรีบปักชนักคาไว้ แบบที่นายวัชระ เพชรทอง อดีต สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ให้ตรวจสอบนายเศรษฐา กรณีแต่งตั้งนายพิชิต ชื่นบาน เป็น รมต.ประจำสำนักนายกฯ
ส่อเป็นการกระทำการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมหรือไม่
อีกด้านก็เป็นการเคลื่อนไหวของมวลชน เครือข่ายกองทัพธรรม ยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยนายพิชิต ขาดคุณสมบัตินั่งเก้าอี้รัฐมนตรี เพราะเคยต้องโทษจำคุก
ไฟลาม ล้อมหน้า ล้อมหลัง “นายกฯ ในตำแหน่ง” ต้องเสี่ยงเงี่ยงกฎหมาย
แต่ “นายกฯ ในตำนาน” ลอยตัว แค่โดนด่าอย่างเดียว.
“ทีมการเมือง”
คลิกอ่านคอลัมน์ “วิเคราะห์การเมือง” เพิ่มเติม