”เศรษฐา“ ลั่น แม้เป็นนายกฯ แต่ไม่มีอะไรสำคัญชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทยดีขึ้น ย้ำ ไม่นิ่งนอนใจผลักดันรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน

วันที่ 3 พ.ค. ที่พรรคเพื่อไทย ในงาน "10 เดือนที่ไม่รอ ทำต่อให้เต็ม 10" นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี  กล่าวว่า ช่วงหนึ่งปีที่ตนก้าวเข้ามาในบ้านหลังนี้ ตั้งแต่การลงพื้นที่หาเสียง การตั้งรัฐบาลมีอะไรหลายอย่างที่อาจขัดสายตา มีวาทกรรมต่างๆ แต่หน้าที่เราคือการฟอร์มรัฐบาลที่มีความมั่นคง ทำงานร่วมกันเพื่อดูแลทุกคนอย่างทั่วถึง สิบเดือนที่ผ่านมาเป็นที่ประจักษ์ การที่เราไม่เสียเวลาไป 10 เดือนเราได้อะไรมาบ้าง อย่างตอนลงพื้นที่อุบลราชธานี ได้รับข้อมูลว่า น้ำท่วมมาโดยตลอด ก็ได้พูดคุยกับกรมชลประทาน รมว.เกษตรฯ แม้จะเป็นคนละพรรค สิ่งที่ตามมาปีนี้น้ำไม่ท่วม ตอนไป จ.ศรีสะเกษ ทราบว่า ราคาหอมแดงอยู่ที่ ราคา 7-8 บาท ตอนไปตลาด อ.ต.ก.เห็นราคา 200 บาท 193 บาทหายไปไหน ตนเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาหารือว่า ราคาหอมแดงต้องเป็น 13-15 บาท เรื่องนี้เป็นเรื่องเล็กแต่เป็นแรงบันดาลใจอีกอย่างหนึ่ง วันนี้ราคาสินค้าการเกษตรหลักขึ้นยกแผง แต่พืชรองเราให้ความเท่าเทียมที่จะดูแล ราคาต้องถูกยกขึ้นหมด เราจะเปิดตลาดใหม่ ให้เป็นเคพีไอใหม่ให้กระทรวงพาณิชย์ ปัญหาฝุ่น PM 2.5 ก็ดีขึ้น ถ้าเราไม่ได้เข้ามาตัวเลขคงสูงกว่านี้

ส่วนเรื่องรัฐธรรมนูญใหม่เป็นเรื่องที่เราให้ความสำคัญ และประชาชนมีความต้องการ รัฐบาลไม่นิ่งนอนใจ เราพร้อมที่จะผลักดันให้เป็นฉบับของประชาชน เพื่อประชาชน โดยประชาชน เป็นเรื่องที่เราทำมาตลอด 10 กว่าเดือนที่ผ่านมา ปัญหาใหญ่อีกเรื่อง คือ เรื่องหนี้สิน โดยมีการเจรจากับ 4 ธนาคาร เราคุยกับทางผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ให้ลดดอกเบี้ย แม้ยึดความอิสระ แต่การเป็นอิสระ ไม่ใช่อิสระจากความเดือดร้อนของประชาชน ได้พูดหารือกันด้วยความสุภาพ หากท่านทำก็ดี ถ้าไม่ทำ ก็ต้องหาวิธีอื่น ซึ่งก็มีการลดดอกเบี้ยจากธนาคารให้กับพี่น้องประชาชน รวมถึงหนี้นอกระบบ การจ่ายดอกเบี้ย 1000% เราจะอยู่กันได้อย่างไร เรามีความมุ่งมั่นที่จะแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ให้สำเร็จ ภายใน 4 ปี และเมื่อมีหนี้สิน ปัญหาต่อมาคือการหันไปใช้ยาเสพติด ซึ่งมีการประสานให้ตำรวจ ทหาร ฝ่ายปกครอง ทำงานอย่างเข้มแข็ง ทำให้ผู้ที่เสพยาถูกดึงไปบำบัด ทุกหน่วยงานเร่งรัดเรื่องนี้ และถือเป็นวาระแห่งชาติ

...

เรื่องราคารถไฟฟ้า ตนก็พูดกับ นายสุริยะ มาโดยตลอดเพื่อให้ฝันเราเป็นจริง ถ้าไม่มีรัฐบาลมา 10 เดือน เรื่องเหล่านี้อยู่ตรงไหน เราอยู่ใต้กติกาที่ไม่ได้ทำเพื่อประชาชน เราต้องหยิบเรื่องนี้ขึ้นมา และอีกเรื่องหนึ่งที่เราให้ความสำคัญ คือ ประบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะมีพระชนมายุครบ 72 พรรษา เรื่องนี้รัฐบาลมีแผนงานหลายอย่างที่จะช่วยเหลือประชาชน ผ่านโครงการต่างๆ ขอให้ทุกคนช่วยกันน้อมรับปฏิบัติและช่วยกันคิดว่าจะช่วยกันทำอะไรที่เป็นสาธารณกุศลได้ ตนเชื่อว่าระยะเวลาอันใกล้ พรรคเราจะมีนโยบายอย่างชัดเจน

นายเศรษฐา กล่าวอีกว่า เหลือเวลา 3 ปีนิดๆ เตรียมนโยบายไว้หลายอย่างเพื่อไปถึงเป้าหมาย การจะเดินไปถึงเป้าหมายได้ ต้องผ่านอะไรอีกหลายอย่าง ต้องมีช่วงเวลาที่อัปแอนด์ดาวน์ มีเวลาที่เสียใจ พอใจ ถูกใจ ไม่ว่าในมิติไหน ทั้งนิติบัญญัติ บริหาร ตำแหน่งต่างๆ ที่ต้องดูแลกัน ตนเชื่อว่า ถ้าเราทุกคนมุ่งมั่น มีความสามัคคี เข้าใจซึ่งกัน และกันเห็นใจเขาเห็นใจเรา เชื่อว่า ถนนที่เดินไปข้างหน้าจะสะดวกขึ้นง่ายขึ้น การทำงานของ สส.ร่วมกับคณะทำงานในพรรค ร่วมกับฝ่ายบริหารเป็นกลไกสำคัญ 7-8 เดือน ที่ผ่านมา เราเกือบไม่มีการประสานงานกันเลย แต่ตอนนี้เราทำงานกันได้ดีขึ้น อยากให้โฟกันส่วนที่ดีที่ทำกันมา อยู่ด้วยกันมาอาจจะพอใจกันมาพอใจ 60 ไม่พอใจ 40 ตนก็จะขอให้โฟกัสที่ 60 ที่เรารักกันเข้าใจกัน มีความปรารถนาดี แล้วสร้างให้เป็น 61 62 63 ไม่ใช่โฟกัสที่ 40% ที่เราไม่พอใจกัน ไม่เช่นนั้นมันจะเพิ่มขึ้น เชื่อว่า หัวหน้าพรรคผู้ใหญ่ในพรรค สส.ทุกคนเห็นความมุ่งมันของทุกคน ไม่ใช่แค่ของตนของรัฐมนตรีหรือของกรรมการบริหารอย่างเดียว

นายกรัฐมนตรี กล่าวต่อว่า เชื่อว่า ทุกคนเห็นถึงความตั้งใจจริงและจุดประสงค์ที่เรามาร่วมอยู่ตรงนี้ ตนไม่ได้มาเพื่อตำแหน่งนายกฯ แต่ต้องการยกระดับชีวิตความเป็นอยู่คนไทยทุกคน เป็นหน้าที่ของทุกคนที่อยู่ในนี้ ไม่ว่ารุ่นใหม่รุ่นเก่า เป็นรัฐมนตรีหรือไม่เป็นรัฐมนตรี แต่เราอยู่ด้วยจิตใจที่อิงอยู่กับประชาชน อยากให้ประชาชนอยู่ดีกินดี เชื่อว่านโยบายที่เราเสนอไปเป็นที่ประจักษ์ว่าเรามีความตั้งใจจริง แต่ระหว่างที่เรากำลังเดินทางไปต้องมีช่วงขึ้นและลงเป็นธรรมดาของความสัมพันธ์ ไม่ว่าจะเรากันเองหรือเรากับประชาชน แต่เรามีจุดมุ่งหมายเดียวกันคือดูแลประชาชนให้ดีที่สุด ตนกระหนักดีเสมอ ไม่ว่าเป็นแค่สมาชิกพรรค เป็นแคนดิเดตนายกฯ หรือนายกฯ ไม่มีอะไรสำคัญเท่าตำแหน่งหน้าที่ ไม่มีอะไรสำคัญเท่าพอ 4 ปีแล้วชีวิตประชาชนจะดีขึ้นเพราะพวกเราชาวเพื่อไทย