การอภิปรายเรื่องกฎเหล็ก ระเบียบ การแนะนำตัวของผู้สมัคร สว. ลุกลามบานปลายไปถึงศาล เมื่อนายพนัส ทัศนี ยานนท์ อดีตคณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พร้อมด้วยว่าที่ผู้สมัคร สว. รวม 4 คน ร้องต่อศาลปกครอง ขอให้ศาลวินิจฉัยว่าระเบียบของ กกต. เป็นการออกกฎหมายเกินอำนาจ กกต.
ผู้เชี่ยวชาญด้าน กกต. ยืนยันว่า กกต. ออกระเบียบต่างๆโดยชอบตามรัฐธรรมนูญ และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ตัวอย่างเช่น ระเบียบการแนะนำตัวของผู้สมัคร สว. ให้เขียนเป็นประวัติการศึกษาได้ 3 บรรทัด ประสบการณ์การทำงาน เขียนได้ 5 บรรทัด ให้แนะนำตัวได้ แต่ห้ามให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน
มีเสียงวิจารณ์จากว่าที่ผู้สมัครจากลพบุรีคนหนึ่งว่า กติกาไม่เป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง แต่เป็นกติกาที่ฝังไว้ด้วยเผด็จการ ขณะที่ รศ.ดร.นันทนา นันทโรภาส คณบดีคณะสื่อสารการเมือง มหาวิทยาลัยเกริก วิจารณ์ว่า “เป็นกติกาที่วิปริต” ไม่รู้ว่าเลือก สว. หรือเลือกสัปเหร่อ เพราะมันเงียบมาก
บางคนสงสัยว่าเป็นการสกัดกั้นกลุ่มผู้เห็นต่างไม่ให้เข้าวุฒิสภาหรือไม่ แม้ สว.ชุดใหม่จะไม่มีอำนาจเลือกนายก รัฐมนตรีเหมือนกับ สว. ชุด 250 คน ที่กำลังจะพ้นตำแหน่ง แต่ สว.ชุดใหม่ 200 คน มีอำนาจในการยับยั้งการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่ต้องมี สว.เห็นชอบ 67 คนขึ้นไป และอำนาจตั้งองค์กรอิสระ
อำนาจ สว. ในการให้ความเห็นชอบในการเลือกกรรมการองค์กรอิสระต่างๆ เช่น กรรมการในคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) หรือคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) รวมทั้งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เป็นอำนาจที่สำคัญอย่างยิ่ง ที่กลุ่มผู้มีอำนาจต้องการดำรงไว้
รัฐธรรมนูญมีบทบัญญัติที่ส่งเสริมประชาธิปไตยมากมายหลายมาตรา เช่น เสรีภาพในการพูด การแสดงความคิดเห็น เสรีภาพในการรวมกันเป็นสมาคมสหกรณ์และองค์กรต่างๆ รวมทั้ง ม.107 ที่ให้ สว. มาจากการเลือกกันเองของกลุ่มอาชีพต่างๆ แต่ระเบียบของ กกต. สวนทางกับประชาธิปไตย
...
ตามหลักการของประชาธิปไตยที่แท้จริง องค์กรผู้ออกกฎหมายมาเพื่อบังคับใช้กับคนทั้งประเทศ จะต้องเป็นประชาชนหรือต้องเป็นตัวแทนของประชาชนที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน ไม่ว่าจะเป็น สส. หรือ สว. ซึ่งเป็นผู้แทนปวงชนชาวไทย ไม่ใช่กฎหมายที่ออกตามคำสั่งของคณะรัฐประหาร.
คลิกอ่านคอลัมน์ “บทบรรณาธิการ” เพิ่มเติม