ไทยเป็นประเทศที่การเมืองถูกสาป ไม่ได้ผุดได้เกิดเป็นประชาธิปไตยเต็มใบเสียที รัฐธรรมนูญ 2560 ที่ใช้อยู่ในขณะนี้ไม่ใช่เพื่อให้ประเทศเป็นประชาธิปไตย แต่เพื่อสืบทอดอำนาจคณะรัฐประหาร ทำให้ผลการเลือกตั้ง สส. เป็นเบี้ยหัวแตก มีพรรคได้ สส.เข้าสภาหลายสิบพรรค จึงต้องตั้งรัฐบาลผสมหลายพรรค
รัฐธรรมนูญให้มีคณะรัฐมนตรี 35 คน รวมกับนายกรัฐมนตรีเป็น 36 และมักจะมีรองนายกรัฐมนตรีถึง 6 คน หรือครึ่งโหล เนื่องจากเป็นรัฐบาลผสมหลายพรรค แต่ละพรรคต้องการรองนายกรัฐมนตรีของตน ไม่ยอมขึ้นกับรองนายกรัฐมนตรีพรรคอื่น เสียศักดิ์ศรีทางการเมือง
การประชุมคณะรัฐมนตรีที่ผ่านมา ส่วนที่มีปัญหากลายเป็นพรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นแกนนำรัฐบาล มีการปรับเปลี่ยนมากกว่า ที่ช็อกความรู้สึกของคนทั่วไปได้แก่ การพ้นจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขของ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ซึ่งไม่ได้มาจาก สส.ธรรมดา แต่เคยเป็นผู้ยิ่งใหญ่ระดับหัวหน้าพรรค
อีกคนหนึ่งที่สร้างความแปลกใจ คือการพ้นจากรองนายกรัฐมนตรีของนายปานปรีย์ มหิทธานุกร ให้เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศตำแหน่งเดียว ทำให้นายปานปรีย์ตัดสินใจลาออก แม้แต่นายก รัฐมนตรียังงุนงง จนต้องขอโทษนายปานปรีย์ การปรับ นพ.ชลน่านและนายปานปรีย์ออก กลายเป็นเรื่องใหญ่
อาจกระทบถึงความสงบสุขภายในของพรรคเพื่อไทยไม่มากก็น้อย ถึงแม้การปรับคณะรัฐมนตรีจะเป็นเรื่องปกติ แต่เป็นปัญหาทางการเมือง แต่ในการปรับ ครม.ครั้งนี้ มีสิ่งที่ผิดความคาดหมายนั่นก็คือ การที่นายสุทิน คลังแสง ยังรักษาตำแหน่งรัฐมนตรีกลาโหมไว้ได้อย่างเหนียวแน่น ผิดความคาดหมาย
นายสุทินเข้ารับตำแหน่ง รมว.กลาโหม ในขณะที่มีปัญหาจัดซื้อเรือดำนํ้าของกองทัพเรือไทย กับรัฐบาลจีน ตามสัญญาเมื่อปี 2560 กองทัพเรือไทยขอซื้อเรือดำนํ้าจีน แต่ใช้เครื่องยนต์เยอรมนี ต่อมาเยอรมนีไม่ยอมให้ใช้เครื่องยนต์ของตน จึงกลายเป็นปัญหาระหว่างไทยกับจีน นายสุทินขอเปลี่ยนจากเรือดำนํ้าเป็นเรือฟริเกต
...
แต่เหมือนปัญหาจะยังไม่จบ พล.ร.อ.อะดุง พันธุ์เอี่ยม ผบ.ทร. ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่มีการปรับ ครม. ขอความกรุณาได้โปรดเข้าใจ “มันไม่ใช่การเสริม ตอนนี้ฟันเราหลอแล้ว รั้วทางทะเลไม่สามารถดูแลได้แล้ว ขอเรือกับเครื่องบินช่วยเติมความสามารถให้กองทัพเรือ พร้อมที่จะปฏิบัติหน้าที่เพื่อประชาชน” รัฐบาลจะว่าอย่างไร.
คลิกอ่านคอลัมน์ “บทบรรณาธิการ” เพิ่มเติม