ขมวดท้ายด้วย “ไอ้เข้” ฟาดหาง...

หลังประกาศรายชื่อ ครม. “เศรษฐา 1/1” หมาดๆ ก็เกิดปฏิกิริยาสะท้อนกลับทันทีเมื่อมีรัฐมนตรีประกาศลาออกจากตำแหน่ง 1 คน

“ปานปรีย์ พหิทธานุกร” ได้ยื่นใบลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ  อ้างว่าต้องแสดงจุดยืนในการรักษา “หลักการ” ที่ยึดมั่น

เหตุผลนายกรัฐมนตรี “เศรษฐา ทวีสิน” ได้ถอดเขาออกจากตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีเหลือเพียงตำแหน่งเดียว

ที่ผ่านมาเขาควบ 2 ตำแหน่ง ทำให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ได้รับการยอมรับจากต่างประเทศมาก

ไม่ว่าจะเป็นงานด้านต่างประเทศและเศรษฐกิจการลงทุนต่างๆ ดังที่นายกรัฐมนตรีได้มอบภารกิจเพื่อเชื้อเชิญบริษัทใหญ่ให้มาลงทุนในประเทศไทย

แต่จู่ๆกลับให้พ้นจากตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี เหลือตำแหน่งเดียว แล้วเขาจะตอบคำถามได้อย่างไร

น้ำหนักความน่าเชื่อถือและการยอมรับไม่หายไปหรือ?

ความจริงแล้วประเด็นนี้หากได้พูดคุยและอธิบายความกันให้ชัดๆ ตรงไปตรงมา ก็ไม่น่าจะมีปัญหา เพราะสามารถเข้าใจกันได้

แต่ที่มีปัญหาก็คือบอกกล่าวกันก่อนหรือเปล่าว่า จะให้เขาเหลือเพียงตำแหน่งเดียวเท่านั้น

นี่แหละคือปัญหา...

จับกระแสข่าวก็มี 2 มุม มุมหนึ่งบอกว่าไม่ได้มีการพูดคุยกันเรื่องนี้ นายกรัฐมนตรีบอกเพียงว่าจะมีการปรับ ครม.

แต่ไม่ได้บอกว่าจะให้เขาเหลือตำแหน่งเดียว

อีกกระแสบอกว่านายกรัฐมนตรีได้พูดอย่างชัดเจนว่าจะให้เหลือเพียงตำแหน่งเดียว ซึ่งอีกฝ่ายก็ไม่ได้พูดอะไรในเรื่องนี้

นายกรัฐมนตรีบอกกับนักข่าวว่าไม่สามารถเปิดเผย  เป็นเรื่องของคนสองคน พูดกันตามมารยาท

ประเด็นมันอยู่ตรงนี้แหละว่าทำไมจะเปิดเผยไม่ได้เพราะไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย หรือลึกลับอะไรขนาดนั้น

...

นี่เป็นเหตุให้ชวนสงสัย

เพราะดูจากประเด็นอื่นๆแล้วก็ไม่น่าจะมีเหตุอะไรที่ทำให้ต้องประกาศลาออกจากตำแหน่ง  ทั้งๆที่สามารถทำงานได้เป็นอย่างดี มีผลงานปรากฏชัดแจ้งที่สังคมรับรู้กันทั่วไป

หรือจะเป็นเพราะ “ปานปรีย์” ไม่มีวิญญาณ “เซลส์แมน” เป็นคุณสมบัติส่วนตัว เรื่องมันถึงได้ออกมาเป็นอย่างนี้

คำถามก็คือใครเป็นคนต้นเรื่องนี้เพราะทุกอย่างดูเหมือนจะมีการอำพรางซ่อนเร้นที่ “ภูมิธรรม เวชยชัย” ผู้จัดการรัฐบาลปฏิเสธว่าการที่นายกรัฐมนตรีและตัวเขาไปที่โรงแรมดังแห่งหนึ่งกลางกรุงนั้น ไม่ได้พบ “ทักษิณ” เพื่อเคาะรายชื่อรัฐมนตรีเป็นครั้งสุดท้าย

ทั้งๆที่ใครก็เชื่อว่าพบกันแน่แต่นายกรัฐมนตรีพยายามที่จะไม่ให้โยงไปถึง

หากพิจารณาจากรายชื่อรัฐมนตรีที่ถูกปรับออก หรือตั้งเข้ามาล้วนมีสายสัมพันธ์ที่แนบแน่นชัดเจน

หรือการตั้ง “สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ” ให้ควบรองนายกรัฐมนตรีด้วยนั้นเพราะอะไรก็รู้กันอยู่  เพราะตำแหน่งรัฐมนตรีคมนาคมตำแหน่งเดียวก็งานล้นอยู่แล้ว

ก็นี่แหละคืออาญาสิทธิ์จากผู้มีบารมีเหนือนายกรัฐมนตรี!

“สายล่อฟ้า”

คลิกอ่านคอลัมน์ "กล้าได้กล้าเสีย" เพิ่มเติม