การปรับ “ครม.เศรษฐา 1/1” ไม่มีผลบวกต่อเศรษฐกิจ แม้แต่ตลาดหุ้นก็ไม่ขานรับรายชื่อ ครม.ที่ออกมาสะท้อนว่า การปรับ ครม.ครั้งนี้ ไม่ได้ปรับเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของรัฐบาล แต่ปรับเพื่อต่างตอบแทนรัฐมนตรีบางคนที่มีบุญคุณกับผู้มีบารมี คนที่เสียสละเพื่อพรรคจนถูกสังคมตราหน้าอย่าง นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว อดีตหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ที่ตระบัดสัตย์จัดตั้งรัฐบาล ก็ยังถูกปรับออกจากรัฐมนตรีเมื่อหมดหน้าที่ คนที่น่าชื่นชมคือ ดร.ปานปรีย์ พหิทธานุกร รัฐมนตรีต่างประเทศ ที่ตัดสินใจลาออกทันทีเมื่อถูกปรับลดตำแหน่งรองนายกฯเหลือตำแหน่งเดียว
ดร.ปานปรีย์ ให้เหตุผลในจดหมายลาออกว่า การถูกปรับออกจากรองนายกฯครั้งนี้ ตนเชื่อว่าไม่เกี่ยวกับตนไม่มีผลงาน เพราะได้ทุ่มเททำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์จนรัฐบาลได้แถลงผลงานไปแล้วเรื่อง นโยบายการทูตเศรษฐกิจเชิงรุก วันนี้ ไทยหวนกลับมาขึ้นบนจอเรดาร์โลก มีมิตรประเทศเพิ่มขึ้น เปิดฟรีวีซ่ากับหลายประเทศ และ ขอให้ ครม.ใหม่รักษาผลประโยชน์ของชาติ ประโยคท้ายนี้เป็นคำเตือนที่มีนัยสำคัญ
การปรับ ครม.ครั้งนี้มีผลบวกเรื่องเดียว มีรัฐมนตรีคลังที่ชัดเจน ทำให้นักลงทุนรู้สึกเชื่อมั่นขึ้น มีรัฐมนตรีรับผิดชอบนโยบายการคลังโดยตรง รวมทั้ง นโยบายการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาทที่ยังไม่ชัดเจนหลายเรื่อง ที่ผ่าน นายกฯเศรษฐา ซึ่งควบเก้าอี้รัฐมนตรีคลัง ไม่มีเวลาทำงานให้กระทรวงการคลังมากนัก ทั้งที่เป็นกระทรวงที่สำคัญที่สุด ส่งผลให้จีดีพีไตรมาส 1 ที่จะออกมา นักวิเคราะห์คาดว่าจะต่ำกว่าที่ควรจะเป็น เพราะ ขาดการกระตุ้นจากนโยบายการคลัง ซึ่งเป็นกลไกที่สำคัญที่สุด แต่ไป หมกมุ่นอยู่กับโครงการแจกเงินดิจิทัล 5 แสนล้านบาท ทั้งที่รัฐบาลก็คาดว่าจะแจกได้ในไตรมาส 4 ปลายปี
...
ดังนั้น 7 เดือนของรัฐบาลที่ผ่านมา จึงเสียโอกาสและเวลาไปฟรีๆ
การเข้ามาเป็น รัฐมนตรีคลัง ควบเก้าอี้ รองนายกฯฝ่ายเศรษฐกิจ ของ คุณพิชัย ชุณหวชิร ครั้งนี้ เป็นคนที่โชคดีมากๆ เข้ามาถึงก็มีเงินงบประมาณปี 67 วงเงิน 3.48 ล้านล้านบาท ให้ใช้จ่ายได้ทันที และยังได้ตั้งงบประมาณปี 2568 ที่สามารถจะใช้จ่ายได้ในเดือนตุลาคมนี้อีก 3.75 ล้านล้านบาท รวมเบ็ดเสร็จ คุณพิชัย รัฐมนตรีคลังคนใหม่ มีเงินใช้จ่ายในปีนี้สูงถึง 7.23 ล้านล้านบาท ถ้าเศรษฐกิจยังไม่โตหรือโตตํ่ากว่าศักยภาพอีก ก็ต้องโทษฝีมือรัฐบาลชุดนี้ และฝีมือของรัฐมนตรีคลังแล้ว
สิ่งที่นักธุรกิจและนักลงทุนคาดหวังจาก รัฐบาลเศรษฐา 1/1 ก็คือ การเร่งใช้จ่ายเงินงบประมาณภาครัฐโดยด่วนที่สุดและมากที่สุด เพื่อหนุนเศรษฐกิจที่กำลังฟื้นตัวจากภาคการท่องเที่ยวให้ทั่วถึง และจัดสรรเงินช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง ผู้มีรายได้น้อย ธุรกิจเอสเอ็มอี ที่รอไม่ได้เพื่อกระตุ้นกำลังซื้อระดับล่าง โดยไม่ต้องรอ “เงินดิจิทัล 10,000 บาท” ในอีก 8 เดือนข้างหน้า
ดร.อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัย ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย ให้ความเห็นว่า สิ่งที่เราอยากเห็นคือ การประคอง และการกระตุ้น เศรษฐกิจไทยวันนี้อ่อนแอ ประชาชนกลุ่มหนึ่งได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวช้า และรอไม่ไหว จึงต้องช่วยประคองในระยะสั้น ไม่ว่าจะเป็นการแจกเงิน สร้างงาน หรือบรรเทาผลกระทบในรูปแบบต่างๆ เน้นประคองให้คนฟื้นตัว และทำต่อเนื่องด้วยมาตรการระยะกลาง เราไม่อยากเห็นการเอาเงินมารวมไว้ก้อนเดียวทั้งหมด
คุณไพบูลย์ นลินทรางกูร นายกสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน ก็มีความเห็นในทิศทางเดียวกันว่า ทีมเศรษฐกิจชุดใหม่ต้องเร่งขับเคลื่อน 2 เรื่อง คือ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น และ มาตรการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจระยะยาว ที่ต้องทำพร้อมกัน
วันนี้ รัฐบาลมีงบในมือ 3.48 ล้านล้านบาทแล้ว ไม่มีข้ออ้างไม่มีงบอีกแล้ว และต้องใช้ให้หมดภายใน 5 เดือน งานนี้จะพิสูจน์ฝีมือ คุณพิชัย ชุณหวชิร รองนายกฯ และรัฐมนตรีคลังคนใหม่ ถ้าใช้งบ 3.48 ล้านล้านบาทหมดใน 5 เดือน เศรษฐกิจฟื้นแน่นอน.
“ลม เปลี่ยนทิศ”
คลิกอ่านคอลัมน์ "หมายเหตุประเทศไทย" เพิ่มเติม