“กฎเหล็ก” ในการเลือก สว.ยุคใหม่ของ กกต. กลายเป็นเวทีโต้เถียงของกลุ่มต่างๆที่เห็นต่าง บางคนสงสัยว่าระเบียบของ กกต.เกินขอบเขตอำนาจ กกต.หรือไม่ นายพนัส ทัศนียานนท์ อดีตคณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ประกาศว่าเห็นต่างอย่างรุนแรง ต่อกฎที่ว่า แนะนำตัวได้ แต่ห้าม หาเสียง
อาจารย์พนัสเป็น “ว่าที่ผู้สมัคร สว.” ที่เห็นว่าสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ไม่มีอำนาจออกระเบียบ ห้ามผู้สมัครให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน และห้ามแนะนำตัวผ่านโซเชียลมีเดีย จึงขอคัดค้านด้วยการยื่นฟ้องต่อศาลปกครอง แต่ไม่ได้บอกว่าจะฟ้องประเด็นใด อาจเป็นเรื่องเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ
รัฐธรรมนูญมาตรา 25 ระบุว่าบุคคลที่ถูกละเมิดสิทธิเสรีภาพที่ได้รับความคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ สามารถยกบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ เพื่อใช้สิทธิทางศาล หรือยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ในศาลได้ เป็นการปกป้องสิทธิและเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น การพูด การเขียน การพิมพ์ การโฆษณาและสื่อความหมายอื่นๆ

กฎเหล็กของ กกต.เรื่องการเลือก สว. ควรเน้นการป้องกันการทุจริตด้วยวิธีการต่างๆ หรือเน้นการปิดปาก ซึ่งเป็นเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ นายแสวง บุญมี เลขาธิการ กกต.ชี้แจงว่า สว.ต่างจาก สส. วุฒิสภาเป็นสภาผู้ทรงคุณวุฒิ แต่สภาผู้แทนราษฎรเป็นสภาการเมือง วุฒิสภาต้องมีความเป็นกลางทางการเมือง
...
แต่คำว่าสภา “ผู้ทรงคุณวุฒิ” ของ กกต.ไม่ได้หมายถึงผู้ที่ผ่านการศึกษาระดับสูงๆ แต่หมายถึงผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป และมีประสบการณ์ทำงาน 10 ปี กลายเป็น “ผู้ทรงวัยวุฒิ” มากกว่า “ผู้ทรงคุณวุฒิ” ส่วนความเป็นกลางทางการเมือง หมายถึงการเข้าข้างรัฐบาลเป็นส่วนใหญ่ เหมือนกับวุฒิสภาปัจจุบันหรือไม่
ดังที่ได้เคยแสดงความเห็นไว้ในบทบรรณาธิการ “ไทยรัฐ” เมื่อวันก่อนว่า กกต.ไม่น่าจะมีอำนาจหน้าที่ในการควบคุมการเลือกตั้ง หรือการออกเสียงประชามติให้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยง ธรรมเท่านั้น แต่ควรมีบทบาทในการร่วมมือกับองค์กรต่างๆในการให้การศึกษา การเมืองแก่ประชาชนด้วย
กกต.ต้องการให้การปกครองประเทศ ก้าวหน้าสู่ระบอบประชาธิปไตยที่แท้ หรือต้องการอนุรักษ์ไว้ ซึ่งระบอบประชาธิปไตยครึ่งใบต้องการให้ประเทศ ไทยยึดระบบเสรีนิยม หรืออำนาจนิยม หวังว่าจะไม่ต้องการประชาธิปไตยที่มีปากแต่ห้ามพูด เน้นประชาธิปไตยคนใบ้ ที่คนอีสานเรียกว่า “คนปากกืก”.
คลิกอ่านคอลัมน์ "บทบรรณาธิการ" เพิ่มเติม