“รังสิมันต์ โรม” แนะแก้ 3 ระยะ ปัญหาชายแดนเมียนมา เพิ่มการพูดคุยระหว่างประเทศ ช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมระยะยาว เผย กมธ.มั่นคงฯ ลงพื้นที่แม่สอด 12-14 พ.ค. ย้ำงานไม่ซ้ำซ้อน “ปานปรีย์” แต่มีจุดหมายเดียวกัน
วันที่ 25 เมษายน 2567 นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติ และการปฏิรูปประเทศ แถลงผลการประชุมในวันนี้ ระบุว่า ปัญหาที่เกิดขึ้น ล้วนเกิดผลกระทบกับประเทศไทย ทั้งด้านระบบเศรษฐกิจ สังคม เพื่อให้การแก้ไขปัญหาเป็นไปได้รอบด้าน ตนจึงขอเสนอแนวทางแก้ปัญหา 3 ระยะ
โดยปัญหาระยะสั้นที่เป็นเรื่องเร่งด่วน คือการอพยพชาวเมียนมา โดยเสนอให้คณะรัฐมนตรีอนุมัติแนวทางการทำงานที่เป็นมาตรฐาน (Standard Operating Procedure - SOP) ฉบับใหม่ เพื่อให้มีความทันต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ต่อมาคือการสนับสนุนด้านมนุษยชนซึ่งเคยจะทำงานร่วมกันกับมิตรประเทศ เพื่อให้การทำงานมีความยั่งยืน ช่วยเหลือผู้ที่รอคอยความช่วยเหลือได้อย่างเต็มที่ รวมทั้งเสนอให้รัฐบาลมีการพูดคุยกับกองทัพเมียนมา ในการระงับการโจมตีทางอากาศ เพื่อเป็นการลดผลกระทบต่อประชาชนเมียนมา ที่อาจจะหลบหนีเข้าประเทศไทยเพราะผลที่จะเกิดกับชีวิตหากการโจมตีเกิดขึ้น
การแก้ปัญหาระยะกลาง นายรังสิมันต์ ระบุว่า ไทยมีความจำเป็นที่ต้องหารือกับทุกฝ่ายเพื่อแก้ไขปัญหาระหว่างประเทศ ทั้งเรื่องยาเสพติด แก๊งคอลเซ็นเตอร์ เพื่อเป็นการปูทางในระยะยาว นอกจากนี้เสนอให้มีการแก้ไขปัญหาชาวเมียนมาหลบหนีมาอย่างผิดกฎหมาย แม้ว่าตัวเลขระหว่างการสู้รบจะมีไม่มาก แต่ตลอดเวลาของรัฐบาลทหารในเมียนมากลับมีคนจำนวนมากอาจจะถึงล้านคน ที่ทะลักเข้ามา ซึ่งต้องหลบซ่อน จ่ายส่วยให้เจ้าหน้าที่รัฐ จึงเสนอให้รัฐออกบัตรสถานะพิเศษให้กับบุคคลเหล่านี้ เพื่อนำสิ่งที่อยู่ใต้ดินขึ้นมาบนดิน และสามารถตรวจสอบสถานะของบุคคลเหล่านั้นได้
...
การแก้ปัญหาระยะยาว จะต้องมีการพูดคุยถึงอนาคตประเทศเมียนมา โดยเชื่อว่าจากข้อเท็จจริงแล้ว ไทยสามารถเข้าไปมีบทบาทในการเป็นอำนวยความสะดวก สร้างสันติภาพให้ประชาชนชาวเมียนมา นอกจากนี้กล่าวว่าจะมีการตั้งคณะอนุกรรมาธิการ เพื่อติดตามการทำงาน โดยคาดว่ามีความเป็นไปได้ที่จะมีปฏิบัติการใช้ประเทศไทยเป็นฐานการฟอกเงินและค้าอาวุธสนับสนุนสงครามในเมียนมา
นายรังสิมันต์ ตอบคำถามในช่วงท้ายว่า ประเทศไทยไม่จำเป็นต้องรอให้ฝ่ายเมียนมาริเริ่มการเจรจาประเด็นต่างๆ เพราะประเทศไทยมีศักยภาพพอที่จะพูดคุยกับทุกฝ่าย แต่ยืนยันว่าไม่ใช่การแทรงแซงกิจการใดๆ ในประเทศเพื่อนบ้าน นอกจากนี้ คณะกรรมาธิการจะลงพื้นที่ อ.แม่สอด จ.ตาก ในวันที่ 12-14 พฤษภาคม 2567 เพื่อติดตามสถานการณ์ดังกล่าว โดยจะมีการพูดคุยกับประชาชนในพื้นที่ ภาครัฐ สังคม โดยเฉพาะด้านมนุษยธรรม พร้อมระบุว่าการลงพื้นที่ครั้งนี้มีรูปแบบการทำงานที่ต่างจากการลงพื้นที่ของ นายปานปรีย์ พหิธานุกร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ก่อนหน้านี้ แต่มีจุดมุ่งหมายเดียวกันคือการรักษาผลประโยชน์ของประเทศและประชาชนชาวไทย