ดราม่าไม่จบง่ายๆ “ราเมศ” ลั่น ไม่อยากให้ราคากับคำพูดที่ด้อยค่าพรรค ชี้ ประชาธิปัตย์ยุค “เฉลิมชัย” ทำงานเชิงรุก อัด “เชาว์” ถ้าเป็นลูกผู้ชายจริงไม่ควรทำเช่นนี้ คนโง่เท่านั้นที่คิดว่าไม่เกี่ยวกับพรรค

วันที่ 8 เมษายน 2567 นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่ นายเชาว์ มีขวด อดีตรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้ออกมากล่าวหาพรรค ว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา จะเห็นการพูดจาของ นายเชาว์ ที่ออกมาแสดงความคิดเห็น ทำให้เกิดความเสียหายอยู่บ่อยครั้ง คนเราถ้านักเลงจริงไม่ควรทำเช่นนี้ ถ้ากล้าหาญจริง เป็นลูกผู้ชายจริง ต้องเข้ามาคุยกันในพรรค เชื่อว่าคนที่มีการศึกษาดูออก ว่าการแสดงออกแบบไหนจะส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อพรรค

โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ระบุต่อไปว่า นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน เข้ามาเป็นหัวหน้าพรรคตามกระบวนการ เมื่อเข้ามาก็มีความตั้งใจที่จะทำงาน ฟื้นฟูพัฒนาพรรคให้ดีขึ้น เปิดกว้างให้คนรุ่นใหม่ๆ ได้เข้ามา ยุทธศาสตร์พรรคและนโยบายพรรควางหลักไว้ให้มีการทำพื้นที่โดยละเอียด เพื่อมากำหนดเป็นยุทธศาสตร์จังหวัด ยุทธศาสตร์ภาค และนำไปสู่การกำหนดนโยบายที่ชัดเจน ตรงตามความต้องการของประชาชนในแต่ละพื้นที่ การสื่อสารกับมวลชนผ่านโซเชียลมีเดียก็มีความเปลี่ยนแปลง ที่ขณะนี้ทุกจังหวัด ทุกเขตเลือกตั้ง มีการเชื่อมโยงการสื่อสารผ่านทุกช่องทาง รวมถึงการที่ประชาชนสะดวกในการเข้ามามีส่วนร่วม โดยการสมัครสมาชิกพรรคผ่านระบบออนไลน์ ทั้งหมดเป็นการทำงานในเชิงรุกทั้งสิ้น

รวมไปถึงการแก้ข้อบังคับ ซึ่งอยู่ในกระบวนการนำเข้าสู่ที่ประชุมใหญ่เพื่อเปิดกว้าง ใครจะเข้ามามีส่วนร่วมเป็นผู้บริหารพรรคก่อนหน้านี้ต้องเป็นสมาชิกไม่น้อยกว่า 5 ปี ก็แก้ไขให้เป็นสมาชิกเหลือแค่ 2 ปี ก็สมัครเป็นกรรมการบริหารพรรคได้ สัดส่วนน้ำหนักคะแนนในการเลือกหัวหน้าพรรคก็แก้ไขจากเดิม สส.มีสัดส่วนคะแนน 70% ก็แก้เป็นเหลือสัดส่วนคะแนน 40% ทั้งนี้ ทุกอย่างกำลังทำให้ดียิ่งขึ้นในทุกๆ ด้าน ต้องเปิดโอกาสให้กันในการทำงาน ผลการทำงานจะเป็นอย่างไรนั้น ทุกคนต้องรับผิดชอบอยู่แล้ว

...

“ไม่อยากไปให้ราคากับคำพูดที่ด้อยค่าพรรค และอย่ามาโต้ว่าพูดถึง นายเฉลิมชัย ไม่เกี่ยวกับพรรค คนโง่เท่านั้นที่คิดเช่นนี้ เพราะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ คือความเป็นพรรคประชาธิปัตย์ คนปกติ คนที่มีความรู้สึก มีสำนึก จะรู้ดีว่าคำพูดไหนที่จะส่งผลกระทบต่อพรรค ทุกคนพร้อมรับฟังคำวิพากษ์วิจารณ์อยู่แล้ว แต่ไม่ใช่คำพูดที่มีเจตนาทำให้พรรคเสียหาย และเข้าใจได้ว่าการกระทำคำพูดเช่นนี้คือนิสัยใจคอที่มีมาแต่กำเนิด คงไม่มีใครไปห้ามหรือแก้ได้”