อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย คำว่า “รัฐประหาร” กลับมาเป็นข่าวอีกครั้งในประเทศไทยยังเป็นประเทศที่อยู่ในอันดับต้นๆ ของโลก เรื่องรัฐประหาร เมื่อนักข่าวฝรั่งเศสสัมภาษณ์นายกรัฐมนตรีเศรษฐา ทวีสิน เกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะนักข่าวฝรั่งรู้ว่าถ้าเป็นรัฐบาลพรรคเพื่อไทย เคยถูกยึดอำนาจอย่างน้อยสองครั้ง

ได้รับคำตอบจากนายกรัฐมนตรีว่า ไม่กังวลกับสิ่งที่ตนเองควบคุมไม่ได้ แต่ให้ความสำคัญต่อสิ่งที่ตนควบคุมได้ ตนก็เรียนรู้จากรัฐบาลชุดก่อนและมั่นใจว่า ในอนาคตประเทศไทยจะเป็นประชา ธิปไตยมากขึ้น มิฉะนั้นตนคงจะไม่ได้มานั่งอยู่ที่นี่ นายกรัฐมนตรีไม่ได้บอกว่าจะต่อต้านรัฐประหารหรือไม่ ถ้าเกิดขึ้นอีก

หลังจากรัฐประหารกลายเป็นข่าว นายสุทิน คลังแสง รัฐมนตรีกลาโหม เป็นอีกคนหนึ่งที่นักข่าวขอฟังความคิดเห็น นายสุทินยอมรับว่า แม้แต่กฎหมายก็ควบคุมรัฐประหารไม่ได้ ฝ่ายที่จะควบคุมรัฐประหารได้คือสังคมจิตวิทยา แต่ในปัจจุบัน บรรดาผู้นำกองทัพเป็นคนรุ่นใหม่ และรู้ว่าสังคมก้าวถึงขั้นไหนแล้ว

นักรัฐศาสตร์บางคนเชื่อว่ารัฐประหาร เป็นผลพวงจากประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรมการเมืองของแต่ละประเทศ ที่สืบทอดต่อๆกันมา พูดอีกอย่างก็คือเป็น “กรรมพันธุ์” ที่สืบทอดต่อๆกันมา เช่นไทยปกครองด้วยระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาตั้งแต่โบราณ และมีประเพณีรัฐประหารต่อเนื่อง

เช่นเดียวกับประเทศเพื่อนบ้านของเรา พม่าเป็นประเทศที่ยึดติดรัฐประหาร และระบอบอำนาจนิยมมากที่สุด นับแต่ได้รับเอกราชเป็นต้นมา แม้จะเคยเป็นประชาธิปไตยก็อยู่ไม่นาน ขณะนี้กลับสู่เผด็จการอีก ต่างจากอินโดนีเซีย เคยมีรัฐบาลและเป็นเผด็จการกว่า 30 ปี แต่ขณะนี้เป็นดาวรุ่งประชาธิปไตย

เกาหลีใต้ เป็นอีกประเทศหนึ่ง ที่เคยมีรัฐประหาร และอยู่ใต้เผด็จการหลายสิบปี แต่ขณะนี้กลายเป็นประเทศที่ “พัฒนาแล้ว” ทั้งด้านเศรษฐกิจและการเมือง นักวิชาการด้านนิติศาสตร์ของไทยบางกลุ่ม เคยเสนอแนะให้บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ห้ามทำรัฐประหารโดยเด็ดขาด ผู้ใดฝ่าฝืนจะต้องโทษถึงประหาร

...

แต่มีนักวิชาการด้านอื่นๆเตือนว่า ขณะนี้ ป.อาญาไทย ม.113 ก็มีโทษประหารสำหรับรัฐประหารอยู่แล้ว แต่โลกของความเป็นจริงก็คือ เมื่อยึดสำเร็จเสร็จ เรื่องแรกที่นักรัฐประหารทำคือฉีกรัฐธรรมนูญทิ้ง และจับผู้ต่อต้านเข้าคุก นักรัฐศาสตร์ยืนยันสิ่งที่จะต่อต้านรัฐประหารได้ คือประชาธิปไตยที่มั่นคง.

คลิกอ่านคอลัมน์ “บทบรรณาธิการ” เพิ่มเติม