“พล.ร.อ.พัลลภ” แนะรัฐบาลยึดหลักการเส้นมัธยะ แบ่งเขตแดนไหล่ทวีปไทย-กัมพูชา แก้ปัญหาพื้นที่พิพาทเกาะกูด พร้อมค้านเจรจาเฉพาะเรื่องปิโตรเลียม ชี้ การเอาปิโตรเลียมไปแลกกับสูญเสียดินแดน ก็คือขายชาติ
วันที่ 25 มีนาคม 2567 การประชุมวุฒิสภา ยังคงดำเนินในวาระ ญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปในวุฒิสภา เพื่อให้คณะรัฐมนตรีแถลงข้อเท็จจริงหรือชี้แจงปัญหาสำคัญเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดินโดยไม่มีการลงมติ ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 153 เมื่อเวลา 19.34 น. พล.ร.อ.พัลลภ ตมิศานนท์ สมาชิกวุฒิสภา (สว.) อภิปรายเรื่องปัญหาด้านพลังงาน ความไม่ชัดเจนในการแก้ปัญหาพื้นที่ทับซ้อนในทะเล (OCA) กับประเทศรอบบ้าน ซึ่งสามารถเป็นแหล่งพลังงานสำคัญได้ โดยเชื่อว่ารัฐบาลนี้จะต้องทราบเบื้องลึกเบื้องหลัง อีกทั้งจะมีการเจรจาในพื้นที่ OCA เร่งด่วนหรือไม่ เพราะบทเรียนที่กัมพูชาขึ้นทะเบียนปราสาทเขาพระวิหาร เราไม่สามารถวางใจได้ว่าจะไม่เกิดขึ้นกับ OCA และเกาะกูด โดยขอให้รัฐบาลแถลงข้อเท็จจริงการเจรจา โดยมีข้อสังเกต ข้อเสนอแนะ ดังนี้
พล.ร.อ.พัลลภ กล่าวต่อไปว่า OCA ไทย-กัมพูชาใหญ่เกินควร โดยเส้นมัธยะทุกจุดห่างจากเส้นฐานเท่ากัน ทั้งไทยและกัมพูชาต่างประกาศเขตแดนไหล่ทวีปในเวลาใกล้เคียงกัน โดยไทยใช้เส้นมัธยะเป็นหลัก แต่กัมพูชากลับใช้การลากเส้นต่างจากไทยมาก ไม่ใช่เส้นมัธยะ ละเมิดอธิปไตยของไทย จึงทำให้เกิดพื้นที่อ้างสิทธิ์ทับซ้อน รวม 26,400 ตารางกิโลเมตร และไม่สามารถตกลงเส้นแบ่งเขตทางทะเลกันได้ หากรัฐบาลจะเจรจาเรื่องนี้ ควรเจรจาให้ยกเลิกเส้นของกัมพูชาเพราะละเมิดอธิปไตยของไทย และกลับมาใช้หลักเส้นมัธยะ และหากแหล่งปิโตรเลียมกระจุกตัวมาทางพื้นที่ใด ก็ควรเป็นของประเทศนั้นแต่ฝ่ายเดียว ไม่ยุติธรรมที่ต้องแบ่งให้ประเทศอื่น ถ้าไม่แบ่งเส้นเขตให้ชัดเจนจะยิ่งทำให้เกิดความไม่ยุติธรรมสูงขึ้น
...
ห่วงใยเรื่องเขื่อนหินทิ้งฝั่งกัมพูชาที่ยื่นออกไปในทะเล ซึ่งใกล้หลักเขต 73 ที่เป็นเส้นแบ่งไทย-กัมพูชา อาจถือเป็นส่วนของฝั่งทะเลที่ยื่นขึ้นมา ถ้าได้ฝั่งทะเลเพิ่มขึ้น ก็อาจจะได้พื้นที่ทางทะเลเพิ่มขึ้นด้วย กฎหมายทะเล ข้อ 11 ท่าเรือ ระบุว่า สิ่งก่อสร้างถาวรตอนนอกสุดของเขตท่า ซึ่งประกอบเป็นส่วนอันแยกออกมิได้ของระบบการท่านั้น ให้ถือว่าประกอบเป็นส่วนของฝั่งทะเล
ข้อเสนอแนะ
1. รัฐบาลควรยืนยันหลักการให้แก้ไขยกเลิกเส้นเขตแดนไหล่ทวีปที่ลากผ่านเกาะกูด เพราะละเมิดอธิปไตยของไทย รัฐบาลมีความเห็นเรื่องนี้อย่างไร มีความคิดที่จะดำเนินการหรือไม่
2. ต้องยืนยันหลักการ มุ่งเน้น การแบ่งเขตไหล่ทวีปเต็มพื้นที่ OCA เป็นลำดับแรก ถ้ายกเลิกไม่ได้ก็ไม่ควรไปยุ่งกับทรัพยากรในพื้นที่นั้น และไม่ควรแยกเจรจา 2 เรื่อง
“ผมขอคัดค้านหากรัฐบาลจะด่วนสรุปเร่งเจรจาเฉพาะการแบ่งสัดส่วนเปอร์เซ็นต์ปิโตรเลียมที่แต่ละฝ่ายจะได้ให้แล้วเสร็จ เพื่อรีบนำมาใช้ แต่ปล่อยให้การเจรจาแบ่งเขตไหล่ทวีปยังค้างตาอยู่ไม่แล้วเสร็จ พูดง่ายๆ ว่าแยกพิจารณาใน 2 เรื่องนี้ โดยอ้างว่าต้องรีบนำทรัพยากรเหล่านี้มาใช้ก่อนถึง Net Zero Emission ในปี 2050 นั้น ผมเห็นว่าเป็นการกระทำที่ค่อนข้างเห็นแก่ตัว และไม่สมควรอย่างยิ่งเพราะเสี่ยงที่จะสูญเสียดินแดนในอนาคต เท่ากับทิ้งปัญหาอันใหญ่หลวง คือการเจรจาแบ่งเขตแดน ให้อนุชนรุ่นหลังต้องตามแก้ต่อไป ปิโตรเลียมเมื่อขุดขึ้นมาใช้แล้วมันก็หมดไป เผาก็หมดไป เทียบไม่ได้เลยกับดินแดนซึ่งเป็นสิ่งถาวร อย่าเอาพิมเสนไปแลกกับเกลือ อย่าเอาเนื้อไปแลกกับหนัง การเอาปิโตรเลียมไปแลกกับสูญเสียดินแดนนั้น ก็คือขายชาติ”
3. ควรใช้กรอบการเจรจาที่เหมาะสม คือ อนุสัญญาไหล่ทวีป 1958 ไม่ใช่ MOU 2544 เนื่องจากจะเดินหน้าลำบาก และหากดำเนินการตามเส้นมัธยะ พื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชา ในส่วนนี้จะลดลงกว่า 3 ใน 4 ซึ่งเป็น OCA ที่ควรจะเป็น รัฐบาลเห็นด้วยหรือไม่ ส่วน MOU 44 ทั้งสองฝ่ายควรหารือร่วมกันต่อไป
4. ควรเจรจาให้รื้อสิ่งก่อสร้างชายฝั่งทะเลใกล้หลักเขต 73 ไม่ให้มีการเชื่อมต่อกับทะเล และไม่ให้เกิดปัญหาขึ้นในการเจรจาแบ่งเขตทางทะเลระหว่างไทย-กัมพูชาในอนาคต จึงถามว่ารัฐบาลมีความเห็นอย่างไร จะมีการดำเนินการหรือไม่ อย่างไร
ในตอนท้าย พล.ร.อ.พัลลภ ระบุว่า การนำเสนอในวันนี้เพื่อให้รัฐสภาและสาธารณชนรับทราบและช่วยกันพิจารณา ร่วมทั้งเป็นสารตั้งต้นหากจะมีการอภิปรายเรื่องนี้ในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรสัปดาห์หน้า รัฐสภาและรัฐบาลของแต่ละประเทศควรร่วมกันพิจารณาหาทางออกเรื่องนี้ให้รอบคอบ เพื่อให้การเจรจาแก้ปัญหา OCA ไทย-กัมพูชา ที่ยืดเยื้อมาหลายสิบปีจบลงในรุ่นเรา และจบลงด้วยดี ไม่มีฝ่ายใดถูกประณามว่าขายชาติของตน ไม่ทิ้งปัญหาการเจรจาแบ่งเขตแดนไว้เป็นภาระกับคนรุ่นหลัง ได้เส้นเขตแดนทางทะเลที่ถูกต้อง ชัดเจน ไม่มีการละเมิดอธิปไตยของประเทศใด แต่ละประเทศสามารถนำทรัพยากรในพื้นที่ของตนไปใช้ได้อย่างถูกต้องและชอบธรรม ตามสิทธิอธิปไตยของแต่ละประเทศที่ควรจะได้ อันจะเกิดประโยชน์อย่างยั่งยืนต่อประชาชนทั้ง 2 ประเทศ.