- นายกฯ ระบุ หน้าที่ของผู้นำ คือสร้างความหวังและแรงบันดาลใจและทำให้ความหวังเป็นจริง ชี้ ผ้าขาวม้า เป็นมิตรต่อธรรมชาติ ใส่สบาย คนใส่กันมานานแล้ว เพียงแต่ไม่ถูกหยิบยกขึ้นมาในเวทีที่มันกว้างขึ้นเท่านั้น
- เอาไปใส่เมืองนอก ไม่ได้ไปคัดเลือกมา แต่ได้จากการลงพื้นที่ เขาเอามาคล้องให้ด้วยความรักและไมตรีในการต้อนรับที่ดี จึงอยากตอบแทนน้ำใจที่ชาวบ้านมีให้ ยอมรับไม่เพอร์เฟกต์เรื่องแฟชั่น แต่ถือเป็นแรงบันดาลใจ เป็นไอเดียให้กับคน ในการคิดแต่งตัว
- ไม่เป็นไร กระแสโจมตีเรื่องใช้ผ้าขาวม้ากับชุดสูท พร้อมรับฟังทั้งด้านบวกและลบ แต่แค่หวังอยากให้คนไทยใช้ผ้าไทย ถือเป็นความฝันที่อยากให้เกิดขึ้น เผยมันไม่ใช่แค่ผ้าขาวม้า แต่มันเป็นทั้งหมดของวัฒนธรรมการแต่งกายของคนไทย
“ผ้าขาวม้าไทย ต้องไปให้ไกลถึงปารีส” คือสิ่งที่ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โพสต์บรรยายในโซเชียลมีเดีย ขณะสวมเสื้อเชิ้ตลายผ้าขาวม้า ไปลงพื้นที่ จ.เชียงใหม่ เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2567
...
ขณะที่หลายคนคงเห็นผ่านตากันมาบ้างแล้ว เมื่อช่วงต้นเดือนมีนาคม 2567 ที่ผ่านมา ที่นายกฯ เดินสายไปร่วมประชุมเวทีสำคัญที่ต่างประเทศ เริ่มตั้งแต่วง อาเซียน-ออสเตรเลีย และการเดินทางไปเยือนประเทศฝรั่งเศสและเยอรมนี โดยใช้โอกาสที่สำคัญนี้ หยิบยกเอาผ้าขาวม้าจากการที่ชาวบ้านมอบและผูกเอวให้เมื่อครั้งลงพื้นที่ในจังหวัดต่างๆ ของประเทศไทย ไปใส่โชว์ขณะพบผู้นำประเทศต่างๆ ใส่ไปหารือวงเอกชนระดับโลก อีกทั้งยังหยิบกระเป๋ากระจูดจากนราธิวาส และผ้าย้อมครามไปอวดโฉมเช่นกัน
แน่นอนว่า พอภาพการสวมชุดสูท และใช้ผ้าขาวม้าเป็นผ้าพันคอ ปรากฏต่อสาธารณชน ก็เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ทั้งด้านบวกและลบ บางส่วนมองว่าเป็นการขาย Soft Power ไทย ได้อย่างแนบเนียน แต่บางส่วนก็มองว่าผ้าขาวม้าดูไม่เข้ากับชุดสูท
โชว์ใส่เสื้อเชิ้ตผ้าขาวม้า พาสื่อสัมภาษณ์ไร้คนอารักขา
ทีมข่าวการเมืองไทยรัฐออนไลน์ ได้รับโอกาสพิเศษเข้าไปสัมภาษณ์นายกรัฐมนตรี ถึงตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งเป็นสถานที่ทำงานของนายกฯ เศรษฐา เมื่อไปถึงมีทีมงานของนายกฯ มาต้อนรับแบบไม่ต้องมีพิธีรีตองมากนัก พร้อมบอกกับเราว่าขอให้บรรยากาศการสัมภาษณ์เป็นไปอย่างสบายๆ ไม่นานนายกฯ ก็เดินลงจากห้องทำงาน ด้วยหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส สวมเสื้อเชิ้ตผ้าขาวม้าที่ดูทันสมัย คู่กับกางเกงสแล็คสีดำ เดินมาทักทายกับเรา ก่อนจะพาเราไปสัมภาษณ์ด้านในห้องสีงาช้าง โดยไม่มีผู้ติดตามและเจ้าหน้าที่อารักขาแม้แต่คนเดียว
ผ้าขาวม้าใส่กันมานาน แค่ไม่ถูกหยิบยกมาถกในวงกว้าง
เราจึงเริ่มบทสนทนาถึงแนวความคิดโครงการ “Thainess Station” ที่นำ ผ้าขาวม้า กระเป๋ากระจูด ผ้าคราม ไปวางขายในห้างรายใหญ่ของไทย ทั้งเครือเซ็นทรัล เครือสยามพิวรรธน์ เครือเดอะมอลล์ และ บริษัท King Power ที่จะวางขายไปจนถึง 30 เมษายน 2567 นี้ ว่าเป็นมากันอย่างไร โดยนายกฯ ชี้แจงว่า ทางเอกชนเห็นว่ากระแสค่อนข้างดี จึงอยากสนับสนุนผลิตภัณฑ์สินค้าไทย ส่วนเรื่องรายได้ขอให้เป็นไปตามธรรมชาติ เพราะผ้าขาวม้าราคาก็ย่อมเยา ผลิตจากผ้าฝ้ายแท้ ไม่มีใยสังเคราะห์ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ถือเป็นภูมิปัญญาไทยที่ใส่กันมาก่อนแล้ว เพียงแต่ยังไม่ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดคุยในเวทีที่มันกว้างขึ้นเท่านั้น
“ที่ผมใส่ไปเมืองนอก ผมไม่ได้ไปคัดเลือกมา เขาเอามาคล้องให้ผมด้วยความรักและไมตรีให้การต้อนรับที่ดี ผมก็ยังบอกอยู่ว่า อันนี้นะ (ผ้าขาวม้า) เตือนผมด้วย ไปเมืองนอกจะไปใส่เป็นผ้าพันคอกับสูท แล้วผมก็เอาไป กลับมาจากทริปนั้น ที่เขาให้มาเป็นร้อยผืน ผมก็มาเลือกเอาไป แค่นั้นเอง ตอนที่ผมไปก็ไม่ได้หนาวมาก ก็เหมาะใช้ผ้าขาวม้า” นายกฯ กล่าว
ชาวบ้านผูกเอวให้ด้วยมิตรไมตรี จึงอยากตอบแทน
นายกฯ กล่าวอีกว่า เมื่อเขาให้มา ด้วยแววตา ด้วยไมตรีจิตที่มาผูกเอวให้ ก็อยากจะตอบแทนน้ำใจที่ชาวบ้านหยิบยื่นให้ แต่ถามว่ามันเพอร์เฟกต์หรือไม่ ก็ไม่ เพราะสำหรับตนเองที่ตัวใหญ่มันสั้นไปนิด จึงใส่เสื้อโค้ตแล้วติดกระดุมให้โผล่มานิดเดียว ไม่เช่นนั้นมันจะดูห้อย และบางอันก็ดูแข็งเพราะไม่ได้ซักมาก่อน โดยไม่ได้เกี่ยวว่าจะต้องสวยงาม เพราะมันเป็นแค่แรงบันดาลใจ เป็นไอเดียให้กับคนในการคิดแต่งตัว หากใครมีไอเดีย หรือรสนิยมการแต่งกายที่ดีกว่า อยากจะเอาไปพัฒนาต่อ จะเอาไปเป็นขลิบของเสื้อหรืออะไรก็แล้วแต่ ก็ถือเป็นเรื่องดี เพราะตนเองก็อยากให้คนไทยใช้ และถือเป็นความฝันที่อยากให้เกิดขึ้น ตอนนี้ก็วางขายไปทุกห้างสรรพสินค้าแล้ว จึงอยากขอบคุณห้างร้านเหล่านั้นที่เขาให้การสนับสนุนด้วย
ผ้าขาวม้า มันคือวัฒนธรรมของการแต่งกายของคนไทย
ตอนที่ไปทริปฝรั่งเศส นายกฯ ระบุว่าได้เจอ นาย Jean-Marc Duplaix, Deputy CEO บริษัท Kering ซึ่งเป็นบริษัทประกอบธุรกิจสินค้าประเภทแฟชั่นและสินค้า Luxury รายใหญ่ เช่น Gucci และ Bottega และ นาย Emmanuel Perrin, Head of Specialist Watchmakers Maisons บริษัท Richemont Group ซึ่งเป็นบริษัทสินค้าประเภทแฟชั่นโดยเป็นเจ้าของแบรนด์ต่างๆ อาทิ Cartier, Chloé และ Dunhill ถือเป็นบริษัท luxury goods รายใหญ่อันดับ 3 ของโลก รวมถึงหารือนาย Bernard Arnault Chairman and CEO of LVMH Group ที่มีแบรนด์ดังที่คนไทยรู้จัก อาทิ Louis Vuitton, Dior, Fendi และ Celine ดังนั้น บางทีมันไม่ใช่ผ้าขาวม้าอย่างเดียว มันเป็นทั้งหมดของวัฒนธรรมเรื่องของการแต่งกายของคนไทยด้วย เช่นเดียวกับผ้าคราม ที่เริ่มต้นย้อมจุ่มไปในน้ำจะเป็นสีเขียว แต่พอยกขึ้น สะบัด ทำปฏิกิริยากับอากาศ จะกลายเป็นสีน้ำเงินคราม
“สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรีฯ เป็นองค์อุปถัมภ์ของเรื่องคราม หากนำผ้าครามไปใส่ในกางเกงยีนส์ Dior ได้ แล้วพระองค์ท่านดีไซน์ตรงลายกระเป๋าข้างหลังได้ ผมว่ามันไปอีกระดับนึงเลย มันยกสินค้าไทย เหมือนกัน หากเมืองนอกมีเทคนิคเรื่องผ้าแล้วมาทำกับเรา ผมว่ามันเป็นอะไรที่ยกระดับรายได้ประชาชนได้อย่างมโหฬาร ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเกียรติและศักดิ์ศรีด้วย และถือเป็นเรื่องน่ายินดีที่เอกชนไทยหลายรายไปด้วย มันไม่ใช่แค่เรื่องการแข่งขัน แต่เป็นการสร้างรายได้ภูมิปัญญาชาวบ้านระยะยาว ถือเป็นเรื่องดี” นายกฯ กล่าว
ติดต่อแบรนด์ดังระดับโลก จ่อเชิญมาดูผ้าไทย
ส่วนทางบริษัทแฟชั่นสนใจผ้าชนิดไหนของไทยเป็นพิเศษหรือยังนั้น นายกฯ ยอมรับว่า ยัง เพียงแค่ตนเองใส่ไปโชว์เฉยๆ เท่านั้น แต่ขั้นตอนต่อไปคือต้องเชิญเขามา โดยจะมี Federation (สหพันธ์) ด้านแฟชั่นเข้ามา ก็จะประกอบด้วยกลุ่มคนที่มีอิทธิพลด้านแฟชั่นเข้ามาจำนวนมาก จึงเป็นหน้าที่ของเราที่จะจัดให้เขาไปดูภูมิปัญญาของชาวไทย ต้องให้เขาเห็นเยอะที่สุดก่อน จึงจะบอกได้ว่าอะไรเป็นอะไร
“ตอนนี้ท่านทูตไทยประจำฝรั่งเศส กำลังนัดอยู่ ก็อยากให้เร็ว เพราะกระแสกำลังมาดี ก็อยากให้มาเร็ว” นายกฯ กล่าว
พ่อค้าคนกลาง บางทีก็จำเป็นแต่ต้องควบคุมควบคู่
นายกฯ เสริมอีกว่า การแก้เรื่องพ่อค้าคนกลางที่ดีที่สุด คือการขายผ่านออนไลน์ ที่จะช่วยให้ผู้บริโภคเจอผู้ผลิตโดยตรง ซึ่งกระทรวงพาณิชย์จะมาช่วยดูให้ แต่บางโอกาสพ่อค้าคนกลางยังมีความจำเป็นในการกระจายตลาดให้ ต้องผสมกันไปแต่อย่าให้พ่อค้าคนกลางมีเยอะเกินไป ส่วนการผลักดันดีไซเนอร์รุ่นใหม่ของไทยให้มาสนใจผ้าไทย นายกฯ มองว่าหากติดตลาด ความสนใจจะตามมา และจะหยิบเอามาดีไซน์เป็น เสื้อ กางเกง ผ้าพันคอ เนกไท หรืออื่นๆ ต่อ เพราะผ้าขาวม้ามันสามารถทำได้หลายๆ อย่าง
“อ่านจากกระแสโซเชียลมีเดีย ก็ขายดีหลายอย่าง ทั้งกระเป๋ากระจูด รายได้ขึ้นมาอีกเท่านึง ห้างร้านก็มาบอกว่าตอนนี้ของจะไม่พอแล้ว เพราะทุกคนไล่กันแย่งซื้อหมด ส่วนผ้าขาวม้า แต่ละจังหวัดก็มีเทคนิคการย้อมการทำที่แตกต่างกัน ก็มีดีไซเนอร์ อินฟลูเอนเซอร์ จะมาช่วยดูเรื่องการตัดเสื้อผ้าให้ด้วยก็ถือเป็นเรื่องดี” นายกฯ กล่าว
ห้างเยอรมนี เตรียมเอาสินค้าไทยไปวางขาย
ส่วนการเดินทางไปพบห้างดังของฝรั่งเศส และเยอรมนี นายกฯ ยอมรับว่า เขาสนใจจะจัดพื้นที่ให้ Young Designer ไทย ไปจัดบูธสินค้า เช่นที่ เยอรมนี ที่บังเอิญคนไทยร่วมเป็นเจ้าของ ก็สัญญาว่าจะเอาผ้าขาวม้าไปวางให้ รวมถึงสินค้าไทยอื่นๆ เช่น กระเป๋ากระจูด กระเป๋าผักตบชวา เพราะเขาเน้นเรื่อง sustainability
“อย่างที่ผมบอก การใส่ผ้าขาวม้าไม่ใช่แค่แรงบันดาลใจอย่างเดียว แต่ต้องการนำไปสู่การเปิดโลกทัศน์ใหม่สำหรับประเทศไทยด้วย” นายกฯ กล่าว
หน้าที่คือไปขายให้เกิด demand “ผู้นำ” ต้องทำให้ความหวังเป็นจริง
ความต้องการของตลาดก็เป็นเรื่องสำคัญ นายกฯ กล่าวเสริมต่อ หากตลาดต้องการราคาเท่านี้ ชาวบ้านก็สามารถผลิตให้ได้ แต่ปัจจุบันเขาไม่มีความหวังและแรงบันดาลใจ หน้าที่ของผู้นำ คือสร้างความหวังและแรงบันดาลใจและทำให้ความหวังเป็นจริง อันนี้คือหน้าที่เรา หากติดตลาดแล้วก็เป็นหน้าที่เอกชน ภาครัฐที่จะเกื้อกูลกัน ในเรื่องกำไรที่เหมาะสม สิ่งต่างๆ เหล่านี้ คือการเดินทางที่ยังต้องพูดอีกนานในอนาคต
“สเตปแรก ขอให้มี demand (ความต้องการ) ก่อน หน้าที่ผมคือไปขายให้เกิด demand เข้ามาในตลาด ตอนนี้ต้องคอยดูว่าที่ขายได้ ขาดตลาดจริงหรือไม่ หรือเป็นแค่ IO จึงต้องทำการสำรวจว่า วางตลาดทุกที่แล้ว ขายได้จริง หมดจริงหรือไม่ มีของมาเติมหรือไม่ หากไม่มีแสดงว่าขาดตลาดจริง ซึ่งไม่ต้องห่วง ชาวบ้านจะเร่งผลิตออกมาต่อ” นายกฯ กล่าว
เมินดราม่าใส่ผ้าขาวม้า พร้อมฟังทั้งเรื่องบวกและลบ
ส่วนกระแสวิจารณ์ที่โจมตีเข้ามาเรื่องการใช้ผ้าไทย นายกฯ ยืนยันว่า ไม่เป็นไร การวิจารณ์ทั้งหวังดีและไม่หวังดีก็ต้องฟังทั้งนั้น ก็แล้วแต่คนมอง อย่างเช่นการใส่ผ้าขาวม้าบางคนก็บอกดี บางคนก็บอกสั้นไป ไม่เหมาะสม มันแข็งไป มันไม่ใช่ประเด็น เพราะผมต้องการให้สินค้าไทยไปอยู่บนเวทีโลก จะว่าอย่างไรก็ว่ากันไป หากเป็นคอมเมน์ที่ตนเองปรับปรุงแก้ไขได้ ตนเองก็จะพยายาม
“ไม่ได้คิดอะไรครับ ตอบง่ายๆ คือไม่ได้คิดอะไร” นายกฯ กล่าวทิ้งท้าย
ผู้เขียน : สุภัทรา เหล็กผา
กราฟิก : ชลธิชา พินิจรอบ
ภาพ : ธนัท ชยพัทธฤทธี,วัชรชัย คล้ายพงษ์