"จตุพร" ปลัด ทส.เผย วงหารือ "เกษตรฯ-ทรัพยากร" เรียบร้อย "ประยูร" ปลัด ก.เกษตรฯ สั่งสอบให้ที่เฉพาะเกษตรกรตัวจริง-เลขาฯ ส.ป.ก.ลั่น ของเก่าช่างมัน ยึดแผนที่วันแม็ปชี้ขาด "ชัยวัฒน์" บอก ต้องมีคนผิด จบแบบหล่อๆ ไม่ได้

วันที่ 4 มี.ค.2567 เมื่อเวลา 10.00 น.ที่ทำเนียบรัฐบาล นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายประยูร อินสกุล ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช นายวิณะโรจน์ ทรัพย์ส่งสุข เลขาธิการสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อการเกษตร (ส.ป.ก.) นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร ผอ.สำนักอุทยานแห่งชาติ ร่วมประชุมเพื่อแก้ปัญหาพื้นที่ทับซ้อนในเขตป่า โดยใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง

จากนั้น นายจตุพร แถลงผลการประชุมว่า การประชุมวันนี้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ทั้งสองกระทรวงมีเป้าหมายทำงานเพื่อประชาชน ซึ่งในส่วนของกระทรวงทรัพย์ฯ นอกจากดูแลป่าและทะเลแล้ว บางส่วน ก็ดูแลพื้นที่ของประชาชน เช่นเดียวกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ดูแลพื้นที่ทำกินของประชาชน วันนี้เราเอาข้อเท็จจริงมาพูดคุยกันทั้งหมด รวมถึงการวางแนวทางการทำงานร่วมกัน โดยกระทรวงทรัพยากรฯ ได้เสนอไปทางกระทรวงเกษตรฯ จากนี้ การออกเอกสารสิทธิที่ดินทำกิน ส.ป.ก.จะต้องมีคณะกรรมการจาก 9 หน่วยงาน ไปร่วมรับรองแนวเขตด้วย สำหรับพื้นที่ที่เป็น แนวกันชน หรือพื้นที่รอยต่อจะต้องมีการอนุรักษ์ไว้สำหรับสัตว์ป่า ซึ่งถือเป็นนโยบายของรัฐบาล จึงขอไว้เป็นข้อตกลงหรือ MOU ร่วมกัน ระหว่างสองกระทรวง ยืนยันว่าจะทำงานอย่างเต็มที่เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด ทั้งการอนุรักษ์ป่าและสัตว์ป่า รวมถึงประชาชน

ขณะที่นายประยูร กล่าวว่า พื้นที่กันชน จะไม่มีการนำมาจัดสรรเป็นที่ดินทำกินให้ประชาชน สำหรับพื้นที่บริเวณปัญหาพื้นที่อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ จ.นครราชสีมา และปราจีนบุรี จะรอให้คณะกรรมการปฏิรูปที่ดินแห่งชาติจัดทำ One Map ให้แล้วเสร็จก่อนจนกว่าจะได้ข้อยุติใน 2 เดือนนี้ โดยหากคณะกรรมการชุดดังกล่าวได้ข้อสรุปอย่างไรทั้ง 2 กระทรวง จะยึดตามนั้น แต่อย่างไรก็ตาม พื้นที่ของ ส.ป.ก.ใด หากเป็นพื้นที่ที่มีประโยชน์ต่อการอนุรักษ์ป่า หรือเป็นที่อยู่ของสัตว์ป่า ถ้าจัดสรรที่ดินให้เกษตรกรไปแล้วจะสร้างกระทบ รมว.เกษตรและสหกรณ์ ขอให้เว้นไว้อาจทำเป็นป่าชุมชน ไม่ให้มีการจัดสรรที่ดินดังกล่าวให้กับเกษตรกร สำหรับการพิสูจน์เกษตรกรที่ได้รับการจัดสรรที่ดินไปแล้วก่อนหน้านี้ ว่า เป็นเกษตรกรตัวจริงหรือไม่นั้น ตนได้คำสั่งมอบหมายไปยังผู้ตรวจราชการกระทรวงเกษตรฯ ครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ ให้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการระดับเขตและระดับจังหวัด เพื่อตรวจสอบว่า เกษตรกรที่เป็นเจ้าของเอกสารสิทธิทั่วประเทศ เป็นเกษตรกรตัวจริงหรือไม่ แต่หากไม่ใช่เกษตรกรตัวจริง จะต้องดำเนินการยกเลิกเอกสารสิทธิดังกล่าว และให้ดำเนินการทางวินัยกับข้าราชการที่ออกเอกสารสิทธิที่ไม่ใช่เกษตรกร พื้นที่ใดที่เป็นอุปสรรค หรือมีปัญหาเรื่องการทับซ้อน จะมีการส่งเรื่องไปยังคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติโดยใช้วันแม็ปเป็นตัวตัดสิน

...

ด้านนายอรรถพล กล่าวว่าตนได้คุยกับเลขาฯส.ป.ก.แล้ว จะมีการกำหนดทีมงานเพื่อทำงานร่วมกัน โดยมีการวางกรอบระยะทำงาน 30 วันแรก เป็นการวางขอบเขตของทั้ง 2 หน่วยงาน ว่ามีพื้นที่ทับซ้อนหรือไม่ตรงกันหรือไม่ ซึ่งจะทำให้ทราบว่าทั้งประเทศมีพื้นที่ใดบ้างที่ไม่ตรงกัน ซึ่งภายใน 1 เดือนนี้ พื้นที่ใดไม่มีปัญหาเรื่องการทับซ้อน ก็จะสามารถส่งเรื่องให้ คณะกรรมการ One Mapส่วนที่เหลือจะรอการจัดทำพื้นที่ร่วมกันของคณะกรรมการ One map

นายวิณะโรจน์ กล่าวว่า เมื่อที่วันที่ 23 ก.พ.ตนได้มีหนังสือไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศ แต่งตั้งคณะทำงานประกอบด้วย 9 หน่วยงาน ว่า มีการทับซ้อนหรือรุกล้ำหน่วยงานใดหรือไม่ เพื่อเข้ามาเป็นคณะทำงานช่วยดูว่า การออกเอกสารสิทธิ์ของ ส.ป.ก.ทับซ้อนหรือไม่ ยืนยันว่า จากนี้พื้นที่ตรงไหน ที่มีปัญหาทับซ้อนกันเราจะไม่ทะเลาะกัน จะส่งเรื่องให้คณะกรรมการ One Map หากพื้นที่ใดเข้าใกล้พื้นที่กันชนหรือพื้นที่เตรียมการสำหรับการอนุรักษ์ อยากให้ ทางกรมอุทยานฯ แจ้งมายัง ส.ป.ก. เพราะก่อนหน้านี้ต่างคนต่างทำงาน และต่อจากนี้จะทำงานใกล้ชิดกันมากขึ้น อดีตที่ผ่านมาก็ชั่งหัวมัน เพราะสุดท้ายต่างคนก็ต่างทำหน้าที่ เพราะสุดท้ายนายชัยวัฒน์ ก็ทำงานให้ชาวบ้าน ตนก็ต้องทำงานให้ชาวบ้าน เพียงแต่ว่า เจตนารมณ์ของแต่ละหน่วยงาน ไม่ต้องกังวลเรื่องเอกสารสิทธิ ส.ป.ก.ที่ได้ออกไปแล้ว ตอนนี้ยังอยู่ในขั้นตอนการคุยกันของรัฐ และหากที่สุดแล้วมีมติออกมาเป็นอย่างไร ประชาชนที่ได้รับผลกระทบรัฐจะเยียวยาให้แน่นอน ซึ่งพื้นที่ที่มีปัญหาส่วนใหญ่จะเป็นแนวตะเข็บรอยต่อ คณะกรรมการวันแม็ปจะรับผิดชอบดูแล แต่ตอนนี้อะไรที่ยังไม่ชัดเจนขอให้ใช้ชีวิตตามปกติสุขไป

เมื่อถามถึงคดีความที่ 2 หน่วยงานแจ้งความดำเนินคดีไว้ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า ทั้งสองหน่วยงานตกลงกันว่า จะให้ดำเนินการตรวจสอบแนวเขตให้เสร็จสิ้นภายใน 2 เดือน ส่วนคดีความ ตนจะรับผิดชอบเอง ดังนั้นจึงไม่มีปัญหา ขอให้ทุกอย่างดำเนินการอย่างตรงไปตรงมา ให้รอข้อเท็จจริง ข้อกฎหมาย และหลักวิทยาศาสตร์ หลังจากวันแม็ปชี้ขาดเส้นแนวเขตแล้ว เรื่องคดีค่อยมาพูดคุยกัน ส่วนแนวเส้นระหว่างอุทยานฯ และ ส.ป.ก. ในพื้นที่ทับซ้อน ที่ทั้ง 2 หน่วยงาน จะเข้าไปตรวจสอบนั้น จะใช้วิธีการตรวจสอบจาก Field book ของทั้ง 2 หน่วยงาน มาเปรียบเทียบกัน หากมีพื้นที่ทับซ้อนก็จะต้องพูดคุยตกลงว่าจะยกพื้นที่นั้นให้ใครดูแล หากตกลงกันได้ก็จะดำเนินการต่อทันที แต่ถ้าตกลงกันไม่ได้ก็จะส่งให้คณะกรรมการวันแม็ปเป็นผู้ชี้ขาด

เมื่อถามถึงกรณีที่นายชัยวัฒน์ เคยประกาศว่า ไม่ยอมรับแผนที่ของวันแม็ป นายชัยวัฒน์ ตอบว่า สิ่งที่ตนพูดไปคือ ไม่ยอมรับการที่กรมแผนที่ทหาร นำแผนที่ที่ตัวเองรังวัดใหม่ไปส่งให้กับคณะกรรมการวันแม็ป แล้วคณะกรรมการวันแม็ปยอมรับแผนที่ดังกล่าว แต่หลังจากนี้ เมื่อมีการหารือกันระหว่าง 2 หน่วยงานให้เป็นอำนาจของคณะกรรมการวันแม็ปเป็นผู้ขีดเส้น หากอยู่ในพื้นที่ของใครก็จะต้องดำเนินการตามกฎหมายกับอีกฝ่าย ดังนั้นผลการพูดคุยวันนี้เป็นที่น่าพอใจ เพราะตนต้องการแค่ความถูกต้อง

ขณะที่ นายธนดล สุวัณณะฤทธิ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีกระทรวงเกษตรฯ กล่าวว่า ที่ ส.ป.ก.ไปแจ้งความเอาผิด นายชัยวัฒน์ ตาม พ.ร.บ.ปราบปรามการทุจริตฯ ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจจะใช้เวลาแสวงหาข้อเท็จจริง 30 วัน ก่อนส่งสำนวนให้ ป.ป.ช. เพื่อเอาผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 159 เนื่องจากนายชัยวัฒน์เข้าไปดำเนินการถอนหมุด ส.ป.ก. โดยที่เข้าใจว่า เป็นพื้นที่อุทยาน แต่ ส.ป.ก.ไปแจ้งความเอาผิด เพราะ ส.ป.ก.บอกเป็นพื้นที่ของ ส.ป.ก. ดังนั้นนายชัยวัฒน์ จะเจตนาหรือไม่ อยู่ที่ความตั้งใจ ซึ่ง ป.ป.ช.จะตรวจสอบต่อไป แต่ในระหว่าง 2 หน่วยงานได้ปรับความเข้าใจจนได้ข้อยุติแล้ว

จากนั้น นายชัยวัฒน์ ได้ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมว่า เรื่องแจ้งความเป็นกฎหมายอาญาต้องมีการพิสูจน์ และคาดการณ์ว่า เขาก็ต้องแจ้งความเรา เนื่องจากตนไปถอนหมุดเขามา หากเขาไม่แจ้งก็แสดงว่า หลักนั้นเป็นหลักเถื่อน เป็นหลักเท็จ ซึ่งทั้ง 2 ฝ่าย ยื่นหลักฐานมาตัดสินกันไม่ได้ก็ต้องให้คณะกรรมการเป็นคนตัดสินตามหลักฐานที่มี หากตัดสินว่า เป็นพื้นที่ในเขต ส.ป.ก.ตนรับเต็มๆ ทั้งเรื่องแจ้งความเท็จ หรือเรื่องอื่นๆ แต่หากอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ตนก็จะฟ้องกลับเช่นเดียวกัน ไม่ว่าใครที่สั่งการ วันนี้จะจบแบบหล่อๆ ไม่ได้ เพราะเหตุที่เกิดขึ้นเกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า เราก็พยายามที่จะสื่อสารมาโดยตลอดแต่ไม่เป็นผล วันนี้ได้ข้อยุติระดับนึง ซึ่งรออีก 2 เดือน ว่า พื้นที่ตรงนี้จะเป็นของใคร ยืนยันว่า หลักฐานเรามีเพียงพอที่จะยืนยันว่า เป็นพื้นที่ของอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ที่บอกว่าจะจบแบบหล่อๆ ไม่ได้ คือ จะจบแบบไม่มีใครผิดไม่ได้ งานนี้ต้องมีคนผิดเมื่อเขาไม่ผิด ตนก็ต้องผิด เพราะเราทิ้งตัวแล้ว ไม่ใช่ว่าตนจะเกษียณแล้วทิ้งตัว แต่ตนสู้มาตลอดชีวิต การจะจบโดยไม่มีใครผิดไม่ได้ ใครที่ทำหลักฐานเท็จ ใครออกโฉนดโดยมิชอบ ต้องมีคนผิดหากเขาไม่ผิด ตนก็ต้องผิด ซึ่งต้องรับผิดชอบการกระทำของตนเองอยู่แล้ว