ความสำเร็จย่อมมาจากความทะเยอทะยาน

ผู้กระหายความสำเร็จจึงต้อง มีความทะเยอทะยานเป็นแรงผลักดัน

นายกฯเศรษฐา ทวีสิน ประกาศเป้าหมายอย่างทะเยอทะยานที่ฟังแล้วต้องร้องอื้อฮือ

1.จะทำให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการบินของภูมิภาคภายใน 6 ปี!!

2.จะผลักดันสนามบินสุวรรณภูมิ ติดอันดับ 1 ใน 50 ของโลกใน 1 ปี!!

3.จะยกระดับความสามารถการแข่งขันของสนามบินสุวรรณภูมิให้ผงาดขึ้นติดอันดับ 1 ใน 20 สุดยอด สนามบินโลกภายใน 5 ปี!!

นี่คือความทะเยอทะยานที่ “เศรษฐา” ต้องพิสูจน์ตัวเอง

ถ้าทำสำเร็จก็ยอดเยี่ยมกระเทียมโทน

แต่ถ้าทำไม่สำเร็จก็เสียรังวัดอย่างแรง

“แม่ลูกจันทร์” ชี้ว่า จะผลักดัน ให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการบินของภูมิภาค เท่ากับต้องท้าชิงแชมป์กับสิงคโปร์เต็มตัว

ไม่ใช่เรื่องง่ายแน่นอน!!

การจะผลักดันสนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งปัจจุบันหล่นมาอยู่อันดับ 68 ของโลก ให้แซงขึ้นไปติดอันดับใน 50 ของโลกภายใน 1 ปี

หรือเท่ากับดันสนามบินสุวรรณภูมิพุ่งขึ้นอีก 18 อันดับในปีเดียว

ก็ไม่ใช่เรื่องหมูๆเช่นกัน

เพราะยังมีสนามบินมาเลเซีย และสนามบินอินโดนีเซีย ซึ่งอันดับเหนือกว่าสนามบินไทย

แถมยังมีสนามบินเวียดนาม (ฮานอย) ซึ่งกำลังมาแรงเป็นกระดูกชิ้นโต

ส่วนเป้าหมายสุดท้าย จะผลักดันสนามบินสุวรรณภูมิ ผงาดขึ้นไปติดอันดับ 1 ใน 20 สุดยอดสนามบินทั่วโลกภายใน 5 ปี

ดูเหมือนฝันไกล...แต่ใช่จะฝันเกินเบอร์

เพราะ “ก่อนยุค คสช.” สนามบินสุวรรณภูมิเคยติดอันดับ 13 สนามบินดีที่สุดของโลก และติดอันดับ 5 สนามบินยอดเยี่ยมของเอเชีย

จะเป็นไปได้หรือไม่...ยังต้องลุ้นกันไปยาวๆ

“แม่ลูกจันทร์” เชื่อว่า นายกฯเศรษฐา ต้องคิดหน้าคิดหลังมาแล้วอย่างดี จึงกล้าประกาศเป้าหมายจะทำให้ประเทศไทยเป็น “ฮับการบินภูมิภาค” ให้สำเร็จใน 6 ปี

...

พูดให้เห็นภาพชัดๆจะเพิ่มขีดความสามารถรองรับผู้โดยสารผ่านสนามบินสุวรรณภูมิจาก 60 ล้านคนเป็น 150 ล้านคน

สนามบินดอนเมืองจะเพิ่มจากปีละ 30 ล้านคน เป็น 50 ล้านคน

รวม 2 สนามบินจะสามารถรับผู้โดยสารรวมกันถึงปีละ 200 ล้านคน

เพื่อเพิ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติอีก 500 เปอร์เซ็นต์

เพิ่มรายได้จากการท่องเที่ยวขึ้นอีกก้อนโต

การเพิ่มจำนวนผู้โดยสารไปถึง 200 ล้านคนต่อปี เท่ากับจะมีเที่ยวบินเพิ่มจาก 68 เที่ยวต่อชั่วโมงเป็น 120 เที่ยวต่อชั่วโมง

ถ้าทำได้ตามความฝัน ประเทศไทยจะเป็นศูนย์กลางการบินภูมิภาคได้อย่างยิ่งใหญ่ในเวลา 6 ปี

ใครเป็นนายกฯก็ต้องฝันหวานอย่างนี้แหละโยม.

“แม่ลูกจันทร์”

คลิกอ่านคอลัมน์ "สำนักข่าวหัวเขียว" เพิ่มเติม